10 เมษายน 2552

พันธกิจที่ประเทศกัมพูชาและเวียดนาม

ชาโลม

วันอาทิตย์เป็นวันอีสเตอร์ ซึ่งจะเฉลิมฉลองการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์

พวกเราเดินทางจากโฮจิมิน ประเทศเวียดนาม และมาถึงกรุงเทพฯเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พวกเราได้ติดต่อสถานทูตจีนที่ฮานอย และทางสถานทูตได้ตอบพวกเรามาว่า ทางสถานทูตจะไม่อนุมัติวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวที่อยู่ในเวียดนาม นอกเสียจากว่าพวกเราจะมีหนังสือเวิร์คเพอร์มิทในการทำงานหรือในการพักอาศัยอยู่ที่ประเทศเวียดนามเท่านั้น ซึ่งจริงๆแล้วพวกเราวางแผนการณ์ว่าจะไปที่ฮานอยแต่ก็ต้องยกเลิกไป ดังนั้นพวกเราจึงนั่งรถทัวร์จากเวียดนามกลับมาที่กรุงเทพฯเพื่อขอวีซ่าจีน การเดินทางจากโฮจิมินมาที่กรุงเทพฯนั้นใช้เวลาในการเดินทาง 22 ชั่วโมง ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงคุ้มครองพวกเราตลอดการเดินทาง และพวกเราก็ได้วีซ่าเพื่อไปประเทศจีนเรียบร้อยแล้วในตอนนี้

พวกเราซื้อตั๋วเครื่องบินเพื่อจะเดินทางเพื่อที่จะเดินทางไปมาเก๊าในวันพฤหัสบดีหน้านี้ และจะอยู่ที่นั่นประมาณ 2 สัปดาห์ จากนั้นพวกเราจะไปมลฑลกว่างตง(กวางตุ้ง)โดยการโดยสารรถประจำทาง จากนั้นก็จะนั่งรถไปไปที่เซี๋ยงฟาน มลฑลหูเป่ย พระเจ้าทรงจัดเตรียมที่พักฟรีให้สำหรับพวกเราในการเดินทางนี้ และพวกเราจะอยู่ที่เมืองนั้นประมาณหนึ่งเดือนหรือมากกว่าน้น ในระหว่างที่พักอาศัยอยู่ ผมจะทำการอบรมผู้นำของคริสตจักร การประกาศพระกิตติคุณ เทศนา และอธิษฐานเผื่อเมืองนั้น

หลังจากเสร็จพันธกิจที่เซี๋ยงฟานแล้ว พวกเราจะไปที่นานจิ๋งและเป่ยจิง(ปักกิ่ง)เพื่อที่จะร่วมสามัคคีธรรมร่วมกับพี่น้องคริสเตียนที่นั่นประมาณ 2-3 สัปดาห์ พวกเราเชื่อว่าพระเจ้าจะเปลี่ยนแปลงประเทศจีนเป็นเมืองแห่งความรักและชื่นชมยินดีในพระกิตติคุณ เพราะว่าผู้คนที่นั่นหิวกระหายที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับพระคำของพระเจ้า

สุดท้าย พวกเราจะไปที่เทนจิ่ง และอาศัยอยู่ที่นั่นสักระยะหนึ่ง ผมจะหางานเกี่ยวกับครูสอนภาษาที่เมืองฮาร์บิน และเจนจะหาหลักสูตรระยะสั้นเพื่อศึกษาต่อ บราเดอร์ลี เพื่อนของผมได้เสนอให้พวกเราไปพักที่บ้านของพ่อตา-แม่ยายของเขา ซึ่งไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น ขอพระเจ้าอวยพระพรบราเดอร์ลีและครอบครัวของเขาด้วย

ตอนนี้กลับมาดูที่รายงาน



วันที่ 1 มีนาคม 2552 พวกเราได้ไปที่จังหวัดสระแก้ว และอาศัยอยู่ที่นั่นกับอาจารย์อนันต์กับครอบครัว และก็อาจารย์พอลพลด้วย พวกเราได้ไปเยี่ยมเยียนบ้านของผู้ไม่เชื่อและได้แบ่งปันพระกิตติคุณกับพวกเขาสองสามีภรรยา ภรรยาของเขาได้เล่าว่า เธอเห็นผู้ชายใส่เสื้อผ้าสีขาวยืนอยู่หน้าเธอ และเธอรู้สึกว่าอยากรู้จักเกี่ยวกับตัวเขาคนนั้น พวกเราเชื่อว่าผู้ชายใส่เสื้อสีขาวคนนั้นคือพระเยซูคริสต์ (สามีของเธอกำลังป่วยอยู่) ผมได้อธิษฐานให้กับครอบครัวนี้ ซึ่งทุกๆคนก็ได้ยกมือและอธิษฐานเผื่อพวกเขาด้วย และผมเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ได้ทรงสัมผัสในจิตใจของเธอแล้ว ซึ่งอาจารย์อนันต์จะเป็นผู้สานต่อในการที่จะแบ่งปันพระกิตติคุณให้แก่พวกเขา

พวกเราอยากที่จะโปรโมทเกี่ยวกับรูปภาพข้างบนนี้ ซึ่งภรรยาของอาจารย์อนันต์เป็นผู้ที่ทำตุ๊กตาเหล่านี้ขึ้นมา ผมขอเป็นพยานว่าพวกเขาเต็มใจที่จะรับใช้พระเจ้าเต็มเวลา และรายได้เหล่านี้พวกเขานำมาใช้ในการช่วยเหลือผู้คน ซึ่งเธอได้สอนเจนว่าตุ๊กตาเหล่านี้ทำอย่างไร ถ้าหากว่าใครสนใจที่จะสั่งซื้อตุ๊กตาเหล่านี้ สามารถติดต่อสั่งสือผ่านทางผมได้



วันที่ 5 มีนาคม 2552 พวกเราได้เดินทางไปที่เสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา ที่นั่นพวกเราได้ไปเยี่ยมโรงเรียนแห่งหนึ่งซึ่งบริหารงานโดย NGO หลังจากนั้นผู้บริหารที่นั่นก็ได้เชิญผมให้สอนภาษาอังกฤษให้กับนักเรียนที่นั่น และผมก็ได้แบ่งปันเล็กน้อยเกี่ยวกับคริสเตียน พวกเขาตื่นเต้นที่จะค้นหาเกี่ยวกับว่าพระเยซูคริสต์คือใคร






วันที่ 7 มีนาคม 2552 พวกเราเดินทางไปที่บาราย ประเทศกัมพูชาเพื่อที่จะกระทำพันธกิจต่อที่นั่น ซึ่งผมได้เคยสัญญากับศิษบาภิบาลที่นั่นเมื่อเดือนตุลาคม 2551 ว่าจะกลับมาสานต่อพันธกิจ เมื่อพวกเรามาถึงที่นี่ พวกเราได้รับเชิญให้ไปร่วมงานแต่งงาน และในระหว่างที่พวกเราอยู่ที่นั่น พวกเราได้ไปเยี่ยมโรงเรียนประถม-มัธยมศึกษา และได้มีโอกาสพูดคุยกับอาจารย์-นักเรียนที่นั่นด้วย พวกเขารู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นชาวต่างชาติมาเยี่ยมโรงเรียน ซึ่งศิษยาภิบาลที่นั่นก็รู้สึกตื่นเต้นที่ได้พบกับผมและภรรยาของผมด้วยเช่นกัน ขอบคุณพระเจ้าสำหรับ Pastor Kea ซึ่งได้แบ่งปันคำพยานกับผมเกี่ยวกับไร่ของเขาว่า หลังจากที่ผมได้มาอธิษฐานให้กับไร่ขอของเขาเมื่อเดือนตุลาคม 2551 ไร่ของเขาก็ได้รับผลผลิตเพิ่มขึ้นมาเป็นสองเท่าเมื่อเทียบกับไร่ของเพื่อนบ้าน และพวกเขาก็ได้เข้ามาถามว่าคุณทำยังไงถึงได้ผลผลิตขนาดนี้ และเขาตอบไปว่า "เชื่อในพระเจ้า"

พวกเราพบกับอุปสรรค์ในระหว่างที่กระทำพันธกิจที่บาราย มีคณะมิชชันนารีจาก DUMC ซึ่งเดินทางมาจากประเทศมาเลเซีย ได้เดินทางมาที่ศูนย์ Mission Service ดังนั้นพวกเราจึงไม่สามารถกระทำพันธกิจอะไรได้มากนักจนกระทั่งพวกเขาเดินทางไปที่พนมเปญ เมื่อพวกเขาไปถึงพนมเปญแล้ว หนึ่งในผู้นำมิชชั่นได้ส่งข้อความ SMS ไปสั่งศิษยาภิบาลของพื้นที่นั้นว่า พวกเขาต้องการให้หยุดยั้งพวกเราที่จะกระทำกิจกรรมและพันธกิจต่างๆที่นั่น เมื่อศิษยาภิบาลท่านนั้นเห็นข้อความนั้นแล้วก็ได้ติดต่อไปที่ทาง DUMC และก็ติดต่อมาทางผม ผมไม่ได้ตัดสินหรือต่อว่าพวกเขา พวกเขาไม่ยอมคุยกับผมตรงๆซึ่งๆหน้า แต่ในทางตรงกันข้าม เขาได้ใช้กลุ่มคนสามกลุ่มในการเข้ามาสื่อสาร พวกเราไม่ทราบถ้าเขาไม่บอกกำหนดการของพวกเขา งานของพวกเราดำเนินการไปในอีกทิศทางหนึ่ง มันเป็นการบอกข่าวประเสริฐเพิ่มเติมศรัทธาและมอบความรักให้แก่ชาวบ้าน พวกเขาต้องการแค่อบรบศิษยาภิบาลใหม่ เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้พวกเราจึงตัดสินใจที่จะอยู่ที่บารายเพียงสั้นๆเท่านั้น


จากนั้นพวกเราจึงออกเดินทางจากบารายแลไปที่กำปงสปือ ซึ่งสถานที่นั่นไม่มีห้องน้ำ และไฟฟ้าใช้ พวกเราได้รับเชิญจากโมเสส ผู้ประกาศของที่นั่น ซึ่งหลังจากที่ได้แต่งาน เขาก็ได้ไปอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านนี้เป็นเวลาสองเดือนแล้ว เมื่อพวกเราไปถึงที่นั่นเราก็ได้รับรายงานมาว่าประชากรของหมู่บ้านนี้ 100% นั้นนับถือศาสนาพุทธ และพวกเราก็ได้ใช้ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการที่จะสื่อสารกับชาวบ้านของที่นี่ โมเสสได้เป็นผู้เรียกชาวบ้านมาชุมนุมและผมก็เป็นผู้แบ่งปันพระคำของพระเจ้าโดยใช้คำอุปมา หลังจากนั้นชาวบ้านกลุ่มนี้ก็ได้ยอมรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของพวกเขา ขอบคุณพระเจ้า ผมได้พบกับชายบางคนซึ่งชอบดื่มเหล้า และผมก็ได้แบ่งปันพระคำของพระเจ้าให้แก่พวกเขา จากนั้นพวกเขาก็เริ่มที่จะคิดและต้องการที่จะเลิกดื่มเหล้า พวกเราได้อาศัยอยู่ที่นี้สามวันจากนั้นจึงเดินทางกลับมาที่พนมเปญ ในวันอาทิตย์พวกเราได้รับข้อความจากโมเสสว่า ชายคนนั้นที่ดื่มเหล้าหนักได้เดินทางไปโบสถ์ด้วยกัน ขอบคุณพระเจ้าสำหรับการนี้



วันที่ 22 มีนาคม 2552 พวกเราโดยสารรถประจำทางจากพนมเปญมาที่โฮจิมิน ประเทศเวียดนาม

นี่คือเมืองโฮจิมิน คุณสามารถที่จะดูในวีดีโอคลิ๊ปนี้ได้



พวกเราได้รับเชิญจาก ศบ.Dung Nguyen ซึ่งอยู่ที่เวียดนาม ให้มาร่วมสามัคคีธรรมในกลุ่มเซลล์ ผมก็ได้แบ่งปันเรื่องราวเกี่ยวกับประสบการณ์และพันธกิจของผมให้แก่พวกเขา

ในเวียดนาม คริสเตียนไม่สามารถที่จะแบ่งปันพระกิตติคุณให้แก่ผู้คนได้ ถ้าตำรวจพบเข้า พวกเขาก็จะมีปัญหาเกิดขึ้นตามมาอีกหลายอย่าง และถ้าเป็นชาวต่างชาติก็จะต้องออกจากประเทศเวียดนามไป เมื่อเปรียบเทียบกับฮานอยแล้ว โฮจิมินเป็นเมืองเปิดมากกว่า พวกเราจะต้องระมันระวังอยู่เสมอเช่นเดียวกับสถานการณ์ในประเทศจีน พวกเราจะต้องอธิษฐานให้แก่ประเทศเวียดนามเพื่อเปิดประตูให้แก่พระกิตติคุณที่นี่ ขอบคุณพระเจ้า

พวกเราต้องการการอธิษฐานสนับสนุนจากพวกท่านสำหรับการเดินทางอันแสนยาวนานนี้ ผมหวังว่ารายงานเหล่านี้ที่ผมได้ส่งให้แก่ท่านจะช่วยหนุนใจท่านบ้าง ซึ่งพระเจ้าได้ทรงนำพวกเราในการนี้ พระเจ้าของพวกเราทรงแสนดี เอเมน!

พระเจ้าอวยพร!

อวยพรด้วยความรักของพระคริสต์

Pastor Steve Peter H S Kok and Sister Jenny P Kok

07 เมษายน 2552

วันอีสเตอร์


คือวันระลึกถึงวันเป็นขึ้นมาจากความตาย ขององค์พระเยซูคริสต์ ซึ่งตรงกับวันอาทิตย์ คำว่า "อีสเตอร์ " ที่นำมาใช้สำหรับการฉลองนั้นมาจากคำว่า "EOSTRE" ซึ่งเป็นชื่อของเทพเจ้าแห่งฤดูใบไม้ผลิตของพวกทูโทนิค เป็นเทพเจ้าแห่งการฟื้นคืนชีพ เพราะก่อนถึงฤดูนี้ ต้นไม้ ใบหญ้า ดอกร่วงหล่นเหลือแต่ซาก พอถึงฤดูใบไม้ผลิมันจะกลับผลิดอกออกใบมีชีวิตชีวาอีกครั้งหนึ่ง ฉะนั้นฤดูใบไม้ผลิ จึงถูกนำมาเปรียบกับการเป็นขึ้นมาจาก ความตาย ของพระเยซูด้วย จึงเรียกวันนี้ว่า "อีสเตอร์"

สมัยก่อน คริสตจักรต่างๆ จัดฉลองวันอีสเตอร์ในวันอาทิตย์ที่ไม่ตรงกัน จนถึงปี ค.ศ.325 สภาไนเซียหรือสภาผู้นำคริสตจักรทั่วโลกได้ประชุม และมีมติให้กำหนดแน่นอน ให้คริสตจักรทั่วโลกฉลองเทศกาลอีสเตอร์ให้ตรงกัน โดยกำหนดวันอีสเตอร์คำนวนตามระบบจันทรคติ ทั้งนี้เนื่องจากต้องการให้การฉลองวันที่พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตาย ตรงกับเหตุการณ์ในครั้งแรกจริงๆ

การฉลองวันอีสเตอร์ โดยทั่วไปจะเริ่มตั้งแต่เช้ามืดของวันอาทิตย์ คริสตชนจะไปรวมตัวกันที่โบสถ์ หรือที่สุสาน หรือในทุ่งกว้าง หรือตามป่าเขา ร้องเพลงนมัสการพระเจ้าตั้งแต่ยังมืดอยู่ พอดวงอาทิตย์ค่อยๆ โผล่ขึ้นจากขอบฟ้า เสียงเพลง "เป็นขึ้นแล้ว" ก็จะดังกระหึ่มขึ้น เขาจะร้องเพลง อธิษฐานโมทนาพระคุณพระเจ้า และสรรเสริญพระองค์ที่ทรงเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ได้มีชัยชนะเหนือความตาย และทรงพระชนม์อยู่เป็นนิตย์ หลังจากนั้นก็ บรรยายถึงการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระเยซูคริสต์ หนุนใจให้คริสตชนดำเนินชีวิตอย่างมีชัย เหนือความบาป และความตาย ยืนหยัดอยู่ในความเชื่อศรัทธาที่มีต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า จากนั้นส่วนใหญ่ก็จะรับประทานอาหารเช้าร่วมกัน เสร็จแล้วบางแห่งก็จะมีการเล่นเกมส์สนุกๆ หลายแห่งนิยมเอาไข่มาระบายสีต่างๆ ให้ดูสวยงาม และนำไปซ่อนให้เด็กๆ หรือหนุ่มสาวค้นหาอย่างสนุกสนาน คนโบราณในประเทศตะวันตก เชื่อกันว่าไข่เป็นสัญลักษณ์ของชีวิต เพราะกำลังจะมีชีวิตใหม่เกิดขึ้น จึงได้มีการใช้ไข่เป็นสัญลักษณ์ของวันอีสเตอร์ด้วย

ดอกไม้ที่เป็นสัญลักษณ์ของวันอีสเตอร์ คือดอกลิลี่ หรือดอกพลับพลึงขาวบริสุทธิ์

คริสเตียนถือว่า วันที่พระเยซูคริสต์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย เป็นวันที่สำคัญที่สุด เป็นหัวใจของข่าวประเสริฐ เพราะถ้าไม่มีวันอีสเตอร์ วันคริสตมาสหรือวันศุกร์ประเสริฐ ก็ไม่มีความหมาย เพราะถ้าพระเยซูเสด็จมาเกิด และสิ้นพระชนม์โดยไม่ได้เป็นขึ้นมาใหม่ พระองค์ก็จะเป็นพระเจ้าที่ตายแล้ว ไม่สามารถช่วยเราได้ แต่เมื่อพระองค์ได้ชัยชนะเหนือความตาย บรรดาผู้เชื่อจึงมีความหวังที่แน่นอน ที่จะเป็นขึ้นจากความตาย มีชีวิตนิรันดร์ในสวรรค์สถานกับพระเจ้า ได้มีความมั่นใจในชีวิตนิรันดร์หลังความตาย สิ่งนี้ได้ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ว่า หลังจากพระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากความตาย พระองค์ได้ไปปรากฏในที่ต่างๆ หลายแห่ง ท่ามกลางสาวก และได้อยู่กับสาวกเป็นเวลา 40 วัน จึงได้ เสด็จสู่สวรรค์ท่ามกลางพยานถึง 500 คน เมื่อพระองค์ตรัสสั่งสาวกให้ไปประกาศข่าวประเสริฐ จนถึงสุดปลายแผ่นดินโลก (มัทธิว 28:18-20) และพระองค์ทรงสัญญาว่าจะอยู่กับพวกเขาจนกว่าจะสิ้นยุด และยังสัญญาว่าจะกลับมารับพวกเขาไปอยู่กับพระองค์ พวกสาวกจึงได้ออกไปประกาศข่าวนี้ โดยไม่กลัวอันตรายใดๆ บ้างก็ถูกต่อต้าน ถูกจับทรมาน ถูกฆ่าตาย แต่พวกเขาก็ไม่หยุดยั้ง เพื่อยืนยันถึงสัจธรรมที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นความจริง โดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ยิ่งนับวัน ผู้คนติดตามพระองค์ก็มีมากขึ้น พระองค์ได้สถาปนาอาณาจักรของพระองค์ด้วยความรัก ที่สละได้แม้ชีวิตของพระองค์เอง ที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นความจริง