26 กุมภาพันธ์ 2552

ออกเดินทางจากประเทศไทยและเดินไปข้างหน้าเพื่อทำพันธกิจของพระเจ้า

ชาโลม

สาธุการแด่พระเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่แสนดี เอเมน!

พวกเราจะออกเดินทางจากประเทศไทยในวันอาทิตย์ที่ 1 มีนาคม 2552 และเดินทางไปประเทศกัมพูชาเพื่อทำพันธกิจเป็นเวลาหนึ่งเดือน พวกเราไม่สามารใช้อินเตอร์เน็ตได้สักระยะเวลาหนึ่ง และหลังจากหนึ่งเดือนไปแล้วพวกเราจะเดินทางเข้าสู่ประเทศเวียดนามและจะอยู่ที่นั่นประมาณ 3 - 4 เดือน เมื่อเสร็จสิ้นพันธกิจที่นั่นแล้วพวกเราก็จะเดินทางต่อไปที่ประเทศจีนเพื่อกระทำพันธกิจที่เมือง Harbin City, China (Harbin อยู่หระหว่างประเทศเกาหลีเหนือ, มองโกเลีย และรัสเซีย) เป็นเวลาหนึ่งปี

เมื่อวันพุธที่แล้วผมเพื่อจะจบคอร์ส TESOL (หลักสูตรครูที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง) ตอนนี้ผมมีใบประกาศนียบัตรเพื่อที่จะสามารถสอนภาษาอังกฤษได้แล้วทั่วโลก ขอบคุณพระเจ้า ใบอนุญาติ TESOL นี้เป็นอีกทางหนึ่งที่จะทำให้ผมสามารถอาศัยอยู่ในประเทศจีนได้นานขึ้น ดังนั้นผมจึงได้วางแผนการณ์เอาไว้ว่าจะสอนภาษาอังกฤษในโรงเรียน ส่วนเจนนั้นจะเรียนออนไลน์ทางด้านเกี่ยวกับ "การดูแลเด็ก" ซึ่งคอร์สนี้จะช่วยเธอในการดูและจัดการเกี่ยวกับกลุ่มยุวชนของคริสเตียนและให้เขาใกล้ชิดกับพระเจ้าด้วย

ผมอยากจะขอบคุณพี่น้องทุกๆคนที่ได้ส่งข้อควาอวยพรวันเกิดมาให้ผมในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ (ถึงแม้ผมจะอยู่ห่างไกลจากบ้าน แต่พวกเขาก็ยังคงระลึกถึงผม) ผมอธิษฐานว่า แสงสว่างของพระเยซูจะยังคงฉายส่องอยู่ในใจของพวกคุณในทุกๆวัน ขอพระสิริจงมีแด่พระเจ้า

ผมจะยกตัวอย่างว่าก่อนหน้านี้ได้เกิดอะไรขึ้นที่เมือง Harbin ศูนย์กลางศาสนาของที่นั่นคือ Russian Orthodox ที่ซึ่งได้รวบรวมความเชื่อของชาวคริสเตียนไป อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาต้องการจะอธิษฐานนั้น แทนที่จะพวกว่า "ในพระนามของพระเยซู, พระเจ้า" พวกเขาจะพูดจบด้วยคำว่า "ในนามของนักบุญทั้งหมด" ซึ่งในสอนทั้งหลายเหล่านั้นก็แตกต่างและไม่ตรงกับความเชื่อของคริสเตียน ก่อนที่ผมจะแบ่งปันรายละเอียดให้กับคุณ ผมยังคงต้องเรียนรู้อีกมากเกี่ยวกับเรื่องของศาสนาของที่นั่น คริสเตียนพื้นที่ของที่นั่นยังไม่ค่อยเข้มแข็งและยังคงต้องการการเรียนรู้และพัฒนาในเมืองนั้น ซึ่งก็อยากให้คุณทราบว่า ประเทศจีนนั้นเขายับยั้งการออกไปประกาศและเว็ปไซด์ของคริสเตียน ซึ่งบางทีผมอาจจะไม่ได้ปรับปรุงข้อมูลในเว็ปไซด์/บล็อค หรือส่งรายงานประจำเดือนให้กับทุกๆท่านเพราะว่าทางรัฐบาลจีนเขาจะตรวจสอบทุกเว็ปไซด์ภายในประเทศ

ข้างล่างนี้เป็นรายงานสถานะทางการเงินของผมตั้งแต่เดือนตุลาคม 2551 ถึงเดือนมกราคม 2552


พวกเราอยากที่จะปรับปรุงรายงานในสิ่งที่พวกเราได้ทำไปสำหรับเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ 2552




ในวันที่ 30เดือนธันวาคม 2552 คริสตจักรใจสมานบางปะอินได้ชวนพวกเราให้ไปร่วม church camp 3 วัน และรูปภาพนั้นอยู่ข้างบนนี้ มันเป็นแคมป์จริงๆซึ่งพวกเราต้องอาศัยอยู่ในป่า มันไม่เหมือนกับแคมป์ของคริสตจักรที่บ้านผม ที่นั่นเราไปพักกันในรีสอร์ท

เราต้องไปหาฟืนมาเพื่อที่จะก่อไฟเพื่อทำอาหารและเพื่อก่อกองไฟ ส่วนน้ำที่ใช้อาบนั้นเย็นมากๆ พวกเราได้จัดกลุ่มกันเพื่อทำกิจกรรมการแสดง และเล่นเกมส์ ผมคิดท่าประจำกลุ่มของพวกเราเอาไว้ด้วยว่า "พวกเรารักพระเจ้า พวกเรารักคุณ และพวกเราก็รักทุกๆคน" และในบ่ายของวันถัดไปพวกเราก็ได้ออกไปประกาศตามหมู่บ้าน ซึ่งเราแบ่งเป็นหนึ่งกลุ่มต่อหนึ่งหมู่บ้าน มีครอบครัวหนึ่งให้พวกเราอธิษฐานให้กับเขาด้วย และในตอนเที่ยงคืนซึ่งเป็นวัน New Year Eve พวกเราบางคนรวมทั้งผมด้วย ได้ออกเดินป่ากันเพื่อไปส่องสัตว์จนกระทั่งเวลาตี 3

ก่อนที่พวกเราจะกลับกันในตอนบ่าย พวกเราได้ไปทานอาหารกลางวันร่วมกับศิษยาภิบาลในพื้นที่ของอำเภอนั้น และมีอาจารย์ท่านหนึ่งซึ่งเขารับใช้ part time ในการประกาศได้เดินออกมาและขอให้ผมอธิษฐานเผื่อเขาด้วย เขารู้ว่าเขาได้ทำผิดในระหว่างที่อยู่ที่แคมป์นี้ อัศจรรย์ พระองค์ทรงเปลี่ยนแปลงจิตใจของชายคนนี้ สรรเสริญพระเจ้า!



วันที่ 18 มกราคม 2552 พวกเราได้รับเชิญจากผู้ปกครองของคริสตจักรใจสมานบางประอิน Bro. Somdech พวกเราประหลาดใจมากที่ทางคริสตจักรจะให้การสนับสนุนพันธกิจของพวกเราในประเทศกัมพูชา เวียดนาม และจีน พวกเขามีความปิติยินดี มีความรัก และมีศัทราในพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้าสำหรับทุกสิ่ง! หลังจากเสร็จจากการนมัสการ พวกเราได้ไปแจกของขวัญคริสมาสต์ตามบ้านให้แก่เด็กๆที่ได้มาร่วมงานในวันคริสมาสต์นั้น เมื่อพวกเราให้ของขวัญแก่เด็กๆ พวกเขาดีใจมาก ฮาเลลูยา!



วันที่ 25 มกราคม 2552 พวกเราไปเข้าร่วมที่โบสถ์ใกล้ๆบ้านซึ่งนำทีมโดยมิชชันนารีจากเกาหลี และก่อนที่การประชุมจะสิ้นสุด ผมได้ออกมาแบ่งปันสั้นๆเกี่ยวกับ "การเริ่มต้นของการเป็นมิชชันนารี" ซึ่งหลังจากนั้นมิชชันนารีเกาหลีก็ได้เชิญให้ผมที่จะมาแบ่งปันพระวจนะของพระเจ้าในวันอาทิตย์ถัดไปและให้ภรรยาผมเป็นล่ามแปลภาษาไทยให้

วันที่ 29 มกราคม 2552 ผมได้ไปที่ศูนย์ประกาศนครหลวงกับ Bro. Somdech พวกเราได้ไปเยี่ยนเยียนพี่น้องตามบ้านต่างๆและทำการประกาศไปด้วย มีสี่คนที่ยอมรับพระคริสต์และตัดสินใจมาเป็น ผมได้ไปเยี่ยมหญิงชราท่านหนึ่ง และวางมือบนเธอซึ่งเธอนั้นไม่สามารถเดินได้และรู้สึกว่าจะมีผีเข้า ผมขับผีออกโดยใช้พระนามของพระเยซูคริส และหลังจากนั้นสองสามวันผมก็ได้ข่าวว่าเธอสามารกลับมาเดินได้อีกครั้งหนึ่ง ขอบคุณพระเจ้า พระองค์เป็นพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ และพระเยซูทรงรักษาเธอ ขอบคุณพระเยซูคริสต์!


ในวันเกิดผมวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2552 พวกเราได้เจอกับ Bro. Kamjorn Chaowrat ซึ่งอดีตท่านเป็นสมาชิกวุฒิสภาของกรุงเทพฯ และเป็นผู้จัดรายการทางช่อง 3 คำพยานของท่านนั้นน่าอัศจรรย์ ท่านยอมรับพระคริสต์เมื่อ 7 ปีที่แล้ว ตัวท่านนั้นเคยเป็นคนที่เคร่งครัดอย่างมากในศาสนาพุทธ และท่านเป็นคนเดียวที่ได้ทำการถวายผ้าป่าช่วยชาติด้วยเงินดอลล่าห์สหรัฐเป็นจำนวนมาก และได้ทำการสร้างวัดสร้างตึกอาพาธสงฆ์เป็นเงินจำนวน 15 ล้านบาท แต่ตอนนี้ท่านกำลังเป็นพยานของพระเจ้าไปทุ่งหนทุกแห่งทั่วประเทศไทย ขอบคุณพระเจ้า



วันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันหลังจากวันวาเลน์ไทน์ พวกเราได้ไปที่ศูนย์ประกาศนครหลวงซึ่งที่นั่นได้จัดงาน “Family Valentine Day” มีชาวบ้านหลายๆคนมาร่วมงาน และผมได้ถูกเชิญให้เป็นผู้แจกของขวัญสำหรับวันวาเลน์ไทน์ให้กับผู้ที่โชคดีในการจับฉลาก และทุกๆคนที่มาร่วมงานต่างก็ได้รับของขวัญกลับบ้าน



วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2552 ผมได้รับเชิญให้ไปเทศนาพระคำของพระเจ้าในเรื่อง "หัวใจที่บอกช้ำ" ที่คริสตจักรของพวกเรา หลังจากนั้นพวกเราก็ได้ไปที่แม่น้ำเพื่อทำการบัพติศมาให้แก่พี่น้อง อาจารย์เสกสรรและผมได้ลงไปในน้ำเพื่อทำพิธีให้แก่พี่น้องสตรี 9 ท่าน ซึ่งพระเยซูได้ตรัสไว้ในมัทธิว 28:19 ว่า "เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์" ขอบคุณพระเจ้าสำหรับการเกิดใหม่ของคริสเตียน

พวกเราต้องการอธิษฐานเพื่อสนับสนุนและปกป้องคุ้มครองพวกเราตลอดการเดินทางในครั้งนี้ซึ่งเป็นการเดินทางที่แสนยาวนาน ผมหวังว่า รายงานทั้งหมดที่ผมได้ส่งไปนั้นจะช่วยหนุนใจคุณ พระเจ้าจะทรงนำทางพวกเราทุกคน พระเจ้าทรงแสนดี เอมน

ติดตามรายงานของผมได้ที่ http://faithwithyou.blogspot.com/

Blessing,
Pastor Steve Peter H S Kok and Sister Jenny Kok

10 กุมภาพันธ์ 2552

คริสตมาส 2008

ชาโลม

สาธุการพระนามของพระเจ้า!

ก่อนอื่น ผมอยากจะกล่าวคำว่า “Happy Chinese New Year!” หรือ “Gong Xi Fa Cai!” ในภาษาจีนกลาง ในประเพณีตรุษจีนของชาวจีนนั้น พวกเราต้องมารับประทานอาหารเย็นร่วมกันในวันก่อนปีใหม่ หรือที่เรียกว่า Chinese NewYear Eve! ในช่วงระหว่างเทศกาลนี้ ผู้ที่ได้แต่งงานแล้วจะต้องเตรียมซองสีแดงและบรรจุเงินเล็กน้อย (เรียกว่า อังเปา) เพื่อที่จะแจกเด็กๆและแจกให้กับคนที่ยังไม่ได้แต่งงาน และนี่ก็เป็นเรื่องโดยย่อเกี่ยวกับประเพณีตรุษจีน คุณสามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://en.wikipedia.org/wiki/Chinese_New_Year


เรื่องที่สอง ผมอยากจะขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงเปิดทางให้กับการกระทำพันธกิจในวันข้างหน้าให้แก่ผม เมื่ออาทิตย์ที่แล้วพวกเราไปที่คริสตจักรใจสมานบางปะอิน ที่ซึ่งผมได้เคยไปเทศนา ผมรู้สึกประหลาดใจที่ผู้ปกครองและศิษยาภิบาลที่นั่นได้บอกกับผมและภรรยาว่า ให้พวกเราเป็นตัวแทนของคริสจักรในการออกไปเผยแพร่กระกิตติคุณยังประเทศต่างๆ ทางคริสตจักรวางแผนที่จะสนับสนุนพันธกิจของพวกเรา ขอบคุณพระเจ้าสำหรับทุกสิ่ง ถึงแม้ว่าคริสตจักรนี้จะสนับสนุนเงินทุนได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่สิ่งที่สำคัญคือพวกเขาจะอธิษฐานเผื่อพวกเรา ในระยะเวลา 1 ปี 5 เดือน ที่ผมได้ออกมาทำพันธกิจของพระเจ้า ผมได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนจากพี่น้องที่เป็นคริสเตียนและไม่ได้เป็นคริสเตียน ผู้ซึ่งพระวิญญาณทรงสัมผัสใจพวกเขา และพวกเขาก็เชื่อเกี่ยวกับการเรียกของผม ผมขอขอบคุณผู้สนับสนุนทุกๆท่าน และผมอธิษฐานเอาไว้ว่าคุณจะยังคงสนับสนุนในพันธกิจของพวกเราต่อไป

สิ่งที่สามที่ผมจะพูดถึง ตอนนี้ผมได้เป็นที่ปรึกษาส่วนตัวให้กับพี่น้องคริสเตียนจากประเทศมาเลเซีย ประเทศไทย และประเทศต่างๆทั่วโลก หลายๆคนที่มาหาผมมักจะมีปัญหาเกิดขึ้นในชีวิตและพวกเขากำลังแสวงหาคำตอบและการอธิษฐาน พระเจ้าทรงใช้ผมในการที่จะพูดคุยกับพวกเขา หลายๆคนได้รับพรจากพระเจ้า พวกเขามีคำพยานที่วิเศษมากและพวกเขาได้นำคำพยานนั้นมาแบ่งปันให้กับอีกหลายๆคนฟัง ขอบคุณพระเจ้า

สิ่งที่สี่คือ ตอนนี้ผมกำลังศึกษา TESOL (หลักสูตรครูสอนภาษาอังกฤษ) และนั่นจะเป็นใบเบิกทางให้ผมที่จะสามารถขอวีซ่าเพื่ออาศัยอยู่ในประเทศเวียดนาม จีน และประเทศต่างๆได้นานขึ้น มีอาชีพเพียงแค่สองสามอาชีพเท่านั้นที่จะช่วยให้เราได้วีซ่าเพื่อพักอาศัยอยู่ในประเทศต่างๆได้นานขึ้นนั่นคือ หมอ พยาบาล และครูสอนภาษาอังกฤษ ผมรู้สึกว่าผมอาจจะไม่ได้เป็นครูสอนภาษาอังกฤษเพราะว่ามันไม่ง่ายที่จะหางานในประเทศจีน โดยทั่วไปแล้วพวกเขาต้องการครูที่มาจากประเทศทางยุโรปมากกว่าเอเชีย ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องอธิษฐานอย่างหนัก ยังไงก็ตาม ผมขอฝากไว้ในการอธิษฐานของคุณเผื่อผมด้วย

เรื่องที่ห้า พวกเราได้วางแผนที่จะเดินทางออกจากประเทศไทยกลางเดือนกุมภาพันธ์นี้ สิ่งสำคัญผมจะต้องจบคอร์สของ TESOL เสียก่อน พวกเราจะเดินทางไปทางตอนเหนือของประเทศกัมพูชาเพื่อให้ความรู้กับศิษยาภิบาลที่นั่น ซึ่งพวกเราได้รับการเชิญจากศิษยาภิบาลจากจังหวัดสระแก้ว แล้วหลังจากนั้นพวกเราจะไปยังเมืองบาร์เล่ย์ซึ่งเป็นสถานที่ที่ผมได้ไปเยี่ยมเยียนมาเมื่อเดือนตุลาคม 2551 และที่นั่นผมเองก็มีข้อจำกัดเรื่องของอินเตอร์เน็ตทำให้ไม่สามารถส่งข่าวสารได้เป็นเวลาหนึ่งเดือน แต่พวกคุณจะสามารถติดต่อผมได้ทางเบอร์โทรศัพท์เบอร์ใหม่ จากนั้นพวกเราจะเดินทางต่อไปยังประเทศเวียดนามและอาศัยอยู่ที่นั่นประมาณ 3-4 เดือนแล้วจึงจะเดินทางต่อไปยังประเทศจีน

พวกเราขออัพเดทรายงานเกี่ยวกับวันคริสตมาส 2008


วันที่ 6 ธันวาคม ที่สวนลุมพินี ผมได้เลือกที่จะแบ่งปันเกี่ยวกับเรื่อง “พระเยซูทรงล้างเท้าของสาวก” อยู่ในพระธรรมของยอห์น 13:1-6 พระเยซูทรงต้องการให้ผมทำสิ่งนี้ ดังนั้นผมจึงเริ่มล้างเท้าพี่น้องทุกๆคน ในตอนนั้นพวกเรารู้สึกปิติยินดีเป็นอย่างยิ่ง มีสมาชิกคนหนึ่งได้ถ่อมตัวลงเช่นกัน และเขาได้ล้างเท้าให้กับผมด้วย ใช่แล้ว พระเยซูทรงต้องการให้พวกเราถ่อมตัวลง และให้เราที่จะรับใช้พระองค์ เมื่อเราได้รับใช้ซึ่งกันและกัน เราก็ได้อยู่ในการรับใช้พระเจ้าด้วย (ยอห์น 13:1-6)




วันที่ 9 ธันวาคม ผมได้กลับไปที่สวนลุมพินีอีกครั้งเพื่อร่วมพิธ๊การเฉลิมฉลองเทศกาลคริสมาตที่นั่น และร่วมฟังผู้พูดสองท่านที่ได้ให้เกียรติมาแบ่งปันพระคำของพระเจ้า ท่านแรกนั้นเป็นอดีตสมาชิกวุฒิสภา ดร.กำจร เชาวน์รัตน์ และอีกท่านหนึ่งซึ่งข้าพเจ้าสนิทสนมกันเป็นอย่างดีคือ อาจารย์พอลพล





วันที่ 20 ธันวาคม อาจารย์พอลพล ผมและภรรยาได้ไปที่จังหวัดสระแก้วซึ่งอยู่ใกล้ๆกับบริเวณชายแดนไทยกัมพูชา พวกเราได้ร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลคริสตมาสด้วยกันในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง พวกเขามีการแสดงเกี่ยวกับการประสูติของพระเยซูคริสต์ด้วย และนอกจากนี้ยังมีโชว์การเต้นรำของเด็กๆและคนหนุ่มสาว ในวันต่อมาพวกเราก็ได้เข้าร่วมนมัสการกับพี่น้องคริสตเตียนที่นั่น และในวันนั้นพวกเขาได้มีการแลกเปลี่ยนของขวัญซึ่งกันและกัน ส่วนพวกเราก็ได้แจกช๊อคโกแล็ตแก่เด็กๆ

เพื่อนผู้อ่านที่รัก ถ้าหากว่าคุณอาศัยอยู่ที่ประเทศอินเดีย ไทย สิงค์โปร์ ออสเตรเลีย ฮ่องกง สหราชอาณาจักร หรือสหรัฐอเมริกา และคุณต้องการที่จะสนับสนุนพันธกิจของพวกเรา คุณก็สามารถที่จะสนับสนุนเราได้โดยทำตามวิธีการข้างล่างหรือเข้าไปที่เว็ปไซด์ http://faithwithyouy.blog.com/2822017

ขอพระเจ้าอวยพร

Pastor Steve Peter H S Kok

ตัวอักษรภาษาอังกฤษเกี่ยวกับพระเจ้าและมนุษย์

โอย อาจารย์เจาหง และแปลเป็นภาษาอังกฤษโดย Pastor Steve Peter H S Kok

ใครส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์มา : พระเจ้าหรือพระเยซูคริสต์

กราบเรียนทุกๆท่าน

เมื่อสองชั่วโมงที่แล้วมีคนถามคำถามหนึ่งแก่ผม และผมบอกเขาว่าผมจะตอบเขาทีหลังเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์บอกผม สรรเสริญพระเจ้า
ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลตั้งแต่พันธสัญญาเดิมจนกระทั่งพันธสัญญาใหม่นั้น ได้พูดถึงเกี่ยวกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ทั้งหมด 98 ครั้ง โดยเริ่มต้นจากพระธรรมสดุดี 51:11 ไปถึงพระธรรมยูดา 1:20

ไม่สามารถที่จะต่อต้านหรือเปลี่ยนแปลงข้อความไปได้ถ้าคำพูดนั้นมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ฉะนั้นเราจำเป็นต้องเงียบเสีย แต่ถ้าหากว่าคำพูดนั้นมาจากมนุษย์ เราจำเป็นที่จะต้องแก้ไขให้ถูกต้องโดยยึดข้อความในพระคัมภีร์เป็นหลัก ทุกๆโรงเรียนที่สอนศาสนา นักเรียนที่นั่นจะมีความรู้เป็นอย่างดีในเรื่องพระคัมภีร์ และพวกเขาสามารถที่จะนำมาแต่งเป็นเรื่องเป็นราวได้อย่างดีรวมไปถึงบรรดาผู้สอนศาสนาด้วย ยกตัวอย่างเช่นว่า ใครพอจะทราบบ้างว่าพระเยซูคริสต์ทรงมีพระลักษณะเป็นเช่นไร นักเรียนชาวแอฟริกันจะบอกว่า พระเยซูทรงเหมือนชาวแอฟริกัน (ผมสั้นและหยิก) นักเรียนชาวจีนจะตอบว่า พระเยซูทรงเหมือนชาวจีน (ตัวเตี้ย และฉลาด) นักเรียนชาวตะวันตกจะตอบว่าก็เหมือนกับคนผิวขาว ฯลฯ แม้กระทั่งในนิตรสาร Time ทุกๆปีพวกเขาก็มักจะเปลี่ยนแปลงพระลักษณะของพระเยซูคริสต์ไปในรูปแบบต่างๆเสมอ...ตัวอย่างเช่น ในปีนี้พระเยซูทรงมีพระลักษณะเหมือนกับ CEO ปีที่แล้วพระองค์ดูเหมือนคนทั่วๆไป ฯลฯ แต่ในความเป็นจริงนั้น พวกเราทราบว่าพระคัมภีร์ไบเบิ้ลนั้นมาจากอิสราเอล ยกเว้นในหนังสือของเปาโล ด้วยเหตุนั้น พระเยซูจึงดูเหมือนชาวยิว และยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ทรงสืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์ดาวิด ผู้เป็นกษัตริย์ของชาวอิสราเอล

อะไรก็ตามมันก็ไม่ได้สำคัญที่ว่าพระเยซูจะทรงมีพระลักษณะเช่นไร แต่มันสำคัญที่ว่าเราจะอ้างอิงกลับไปในพระคำของพระเจ้าเพื่อที่เราจะได้รู้วิธีการที่จะนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ เมื่อเรามีข้อผิดพลาดพระคำของพระเจ้าจะช่วยอธิบายให้เราได้ ถ้าไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว มันก็หมายความว่าเราแยกเราไปจากพระคริสต์โดยเราได้เดินตามทฤษฎีและการนำทางของตัวเอง

แล้วใครเป็นผู้ประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์....มันจะเป็นการดีกว่าถ้าเราจะกลับไปดูในพระคำของพระเจ้า

สดุดี 51:11 “ขออย่าทรงเหวี่ยงข้าพระองค์ไปเสียจากเบื้องพระพักตร์พระองค์ และขออย่าทรงนำวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ไปจากข้าพระองค์”

อิสยาห์ 63:11 “แล้วพระองค์ทรงระลึกถึงสมัยเก่าก่อน ถึงโมเสส ถึงชนชาติของพระองค์ พระองค์ทรงนำเขาทั้งหลายขึ้นมาจากทะเลพร้อมกับผู้เลียงแพะแกะของพระองค์อยู่ที่ไหน พระองค์ทรงอยู่ที่ไหน ผู้ซึ่งบรรจุวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ ท่ามกลางเขาทั้งหลาย”

(นี่เป็นบางข้อพระคัมภีร์ที่ข้าพเจ้าเลือกมาเพื่อให้คุณเข้าใจได้ง่ายขึ้น...พระวิญญาณบริสุทธิ์ถูกส่งมาโดย “พระเจ้า” ในพระคัมภีร์เดิมพวกเราจะเรียกพระองค์ว่า “พระบิดา” )

ถ้าพระเยซูเป็นผู้ส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์มาให้เรา “ทำไม” พระองค์จะต้องทรงรับบัพติศมาโดยพระวิญญาณ (มัทธิว 3:11 “เราจะให้เจ้าทั้งหลายรับบัพติศมาด้วยน้ำ แสดงว่ากลับใจใหม่ก็จริง แต่พระองค์ผู้จะมาภายหลังเรา ทรงมีอิทธิฤทธิ์ยิ่งกว่าเราอีก ซึ่งเราไม่คู่ควรแม้จะถอดฉลองพระบาทของพระองค์ พระองค์จะทรงให้เจ้าทั้งหลายรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยไฟ”) เพราะว่าพระเจ้าทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์และพระเจ้าจะเป็นคนตัดสินใจเองว่าจะใครจะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยไฟ

เมื่อพระเยซูทรงเตือนผู้คนที่ได้กล่าวร้ายถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นไม่ได้ แต่สามารถกล่าวร้ายถึงบุตรพระเยซูคริสต์ได้ (มัทธิว 12:32 “ผู้ใดจะกล่าวร้ายบุตรมนุษย์จะโปรดยกให้ผู้นั้นด้ แต่ผู้ใดจะกล่าวร้ายพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะทรงโปรดยกให้ผู้นั้นไม่ได้ ทั้งยุคนี้และยุคหน้า”) ใครคือบุตรมนุษย์...พระเยซูคริสต์คือบุตรมนุษย์ ใครคือพระวิญญาณบริสุทธิ์....คุณจำเป็นที่จะต้องลองถามตัวคุณเองเกี่ยวกับสิ่งนี้

อ่านพระธรรมลูกา 10:21 “ในโมงนั้นเอง พระเยซูทรงมีความเปรมปรีด์ในพระวิญญาณบริสุทธิ์ จึงตรัสว่า ข้าแต่พระบิดา ผู้เป็นพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรคและโลก ข้าพระองค์สรเสริญพระงค์ ที่พระองค์ได้ทรงปิดบังสิ่งเหล่านี้ไว้จากผู้มีปัญญาและผู้ฉลาด แต่ได้ทรงสำแดงให้ผู้น้อยรู้ ข้าแต่พระบิดา พระองค์ทรงเป็นชอบดังนั้น” ใช่แล้ว พระบิดาทรงต้องการให้คุณเดินในทางนี้ แล้งให้ที่ให้ความเปรมปรีด์แก่พระเยซู....จะใช่พระวิญญาณบริสุทธิ์หรือเปล่า

ท้ายที่สุดนี้ มันอยู่ในยอห์น 14:15-17 “ถ้าท่านทั้งหลายรักเรา ท่านก็จะประพฤติตามบัญญัติของเรา เราจะทูลขอพระบิดา และพระองค์จะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้แก่ท่าน เพื่อจะได้อยู่กับท่านตลอดไป คือพระวิญญาณแห่งความจริง ซึ่งโลกรับไว้ไม่ได้ เพราะแลไม่เห็นและไม่รู้จักพระองค์ ท่านทั้งหลายรู้จักพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสถิตอยู่กับท่าน และจะประทับอยู่ในท่าน” ใครขอพระบิดาให้ประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์....นั่นคือพระเยซูคริสต์ที่ได้ร้องทูลต่อพระบิดาซึ่งในข้อความนี้ก็ได้มีกล่าวเอาไว้อย่างชัดเจน พระเยซูตรัสว่า “เราจะ” ก็หมายถึงว่า ถ้าหากว่าเรารักษาพระบัญญัตินั่นก็คือการเชื่อฟังและมีศรัทธาในพระเยซู แล้วคุณก็จะได้รับมันไว้

ในส่วนสุดท้ายนี้ คือพระบิดาที่ได้ทรงส่งพระวิญญาณให้มาหาเรา ไม่ใช่พระเยซู และพระเยซูนั้นเป็นผู้ทูลขอจากพระบิดาให้แก่เรา

พระเจ้าอวยพร


Pastor Steve Peter H S Kok

พระคำของพระเจ้า : มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์

ผมอยากที่จะนำทางให้แก่พวกคุณ...แต่ว่าคุณต้องทำงานกับวิญญาณของตัวคุณด้วย ในยอห์น 3:5-8 พระเยซูทรงตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดไม่ได้บังเกิดใหม่จากน้ำและพระวิญญาณ ผู้นั้นจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้” มนุษย์ย่อมให้กำเนิดออกมาเป็นมนุษย์ วิญญาณก็ให้กำเนิดวิญญาณ ดังนั้นก็ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมผมจึงพูดว่า “คุณต้องเกิดใหม่อีกครั้ง” ลมนั้นสามารถที่จะพัดไปไหนก็ได้ที่มันต้องการ ซึ่งคุณสามารถได้ยินเสียงลมแต่ไม่สามารถบอกได้ว่ามันมาจากไนหรือกำลังจะไปที่ไหน ดังนั้นคุณก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่ามนุษย์นั้นให้กำเนิดวิญญาณได้อย่างไร

ถ้าเป็นไปได้....ขอให้คุณอ่านอย่างระมัดระวัง ให้ใช้จิตวิญญาณของคุณที่จะทำความเข้าใจมากกว่าที่จะใช้ความคิดของตนเอง...ลองอธิบายมัน...เมื่อคุณผิดพลาดผมจะช่วยแก้ไขให้คุณ

หลายคนพูดว่า ฉันได้บัพติศมาด้วยน้ำและรับพระวิญญาณแล้ว เกิดใหม่แล้วโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่ในความเป็นจริงแล้วพวกเขายังไม่ได้เกิดใหม่

การที่เรายอมรับพระคริสต์นั้นไม่ได้หมายความว่าเราได้บังเกิดใหม่แล้ว แต่มันเป็นเพียงแค่การให้พระองค์ช่วยไถ่บาปให้แก่เรา

เราเองก็รู้กันอยู่แล้วว่าปลานั้นสามารถอาศัยอยู่ได้ในน้ำที่สะอาด แล้วถ้าปลาอาศัยอยู่ในน้ำเสียหล่ะมันจะเกิดอะไรขึ้น...พวกมันก็ต้องตาย ดังนั้น พระเจ้าเองก็เช่นกันพระองค์คือวิญญาณ พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ในวิญญาณนั้นด้วย พระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นจะอาศัยอยู่ในวิญญาณที่สะอาด เมื่อคุณเกิดจิตวิญญาณก็เข้าสู่ร่างกายของคุณ และวิญญาณของคุณนั้นเต็มไปด้วยบาป ดังนั้นพระวิญญาณบริสุทธิ์จึงอยู่กับคุณไม่ได้

วิญญาณของพวกเรามีบาป ฉะนั้นจึงจำเป็นที่เราจะต้องการวิญญาณดวงใหม่ มันคือการถวายทุกสิ่งให้แก่พระเจ้า(ถวายตัวทุกๆวัน) เชื่อในพระเจ้า สื่อสารกับพระองค์ทุกนาที ทำตามบัญญัติ และมีความซื่อสัตย์ พระเจ้าทรงทอดพระเนตรเห็นจิตใจของคุณว่าคุณซื่อสัตย์ จริงใจและเชื่อฟังพระองค์....มันขึ้นอยู่กับระยะเวลาซึ่งอาจจะเป็น 1 เดือน, 6 เดือน หรือเป็นปี และเมื่อพระเจ้าทรงมองเห็นแล้ว พระองค์ก็จะประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์มาให้แก่คุณ และคุณก็จะได้รับวิญญาณดวงใหม่

ก่อนที่จะป็นวิญญาณดวงใหม่นั้น ทุกๆคนเป็นคนบาป...วิญญาณไม่สะอาด ซึ่งคุณจำเรื่องของพวกฟาริสีและผู้นำศาสนาที่ได้จำหญิงโสเภณีคนหนึ่งมา....พวกเขามาถามพระเยซู...พระองค์จะทรงตัดสินหญิงผู้นี้อย่างไร เธอได้ทำผิดกฏของโมเสส...ปาก้อนหินใส่เธอจนกระทั่งเธอตาย แต่พระเยซูไม่ได้ตอบอะไร พระองค์ทรงนั่งเขียนที่พื้น...พระองค์ทรงรู้ว่าทุกๆคนมีบาปรวมไปถึงพวกผู้นำศาสนานั้นด้วย...ไม่มีใครบริสุทธิ์เหมือนพระองค์....ดังนั้นพระองค์จึงถามว่า ใครไม่เคยทำบาปต่อพระเจ้าเลย....ผู้คนครึ่งหนึ่งค่อยๆเดินออกไป...พระองค์ถามขึ้นอีกครั้ง...ใครไม่เคยทำบาปเลย....ทุกๆคนทยอนกันเดินออกไป

ไม่มีใครกล้าลงโทษนั่นเพราะพวกเขายังคงมีบาป...รวมถึงนักเทศน์, ศิษยาภิบาล และทุกๆคนด้วย เรื่องเหล่านี้ที่คริสตจักรไม่เคยสอนเรา

หลังจากที่พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาอยู่กับพวกเราแล้ว พระวิญญาณจะคอยเตือนพวกเราอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าคุณจะล้มลง วิญญาณของคุณจะถูกตีสอนโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์....เฉพาะกับวิญญาณดวงใหม่เท่านั้น....แต่วิญญาณดวงเก่านั้นจะไม่ได้รับการเตือน

พระเยซูทรงทูลขอพระบิดาให้ประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่พวกเรา...พระเยซูทรงทูลขอ(จำเรื่องนี้เอาไว้)...หลายๆคริสตจักรบอกว่าพระเยซูเป็นผู้ประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์...มันไม่ใช่เลย พระเจ้าเป็นผู้ประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์มาให้

พระวิญญาณบริสุทธิ์จะคอยให้คำปรึกษาแก่คุณ นั่นคือทรงเป็นครูสอนคุณ นำทางให้แก่คุณ และเตือนภัยให้คุณ เมื่อใดที่คุณอ่านพระคัมภีร์ไบเบิ้ลโดยใช้สติปัญญาของคุณ....เช่นเดียวกับที่ศิษยาภิบาลกำลังเทศนา มันเป็นเพียงรากฐานของวิชาการแต่มันไม่ได้มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์

มันคือการถวายตัวให้แก่พระเจ้า เชื่อพระองค์ รัก และรักษาพระบัญญัติ มีศรัทธา ฯลฯ ศิษยาภิบาลไม่ได้สอนผู้คนว่าควรที่จะถวายตัวแด่พระเจ้าอย่างไร...ซึ่งพวกเขาเองก็ไม่ทราบว่าที่จะถวายตัวเช่นไร เขารู้เพียงแค่วิชาการซึ่งมันมีอยู่ในความรู้ของพวกเขา

บางคนคิดว่า ครูก็คือมนุษย์และสอนพระคัมภีร์ไบเบิ้ล แทนที่จะคิดว่า พระวิญญาณคือครู และเป็นผู้สอนพระคัมภีร์ไบเบิ้ล

หลายๆคนทราบว่าควรจะอธิษฐานอย่างไร คืออธิษฐานตามความคิดและจากปากของเรา มันเหมือนกับการพูดภาษาแปลกๆ (หลายๆคนพูดภาษาแปลกๆ โดย....บราๆๆๆๆๆๆๆๆ....มันไม่ได้มาจาพระวิญญาณบริสุทธิ์)

ผมเพิ่งจะพูดถึงเมื่อสักครู่ วิญญาณนั้นสามารถที่จะสื่อสารกับวิญญาณได้เท่านั้น สุนับก็สื่อสารกับสุนัขได้ แต่ไม่มีใครที่เดินไปพูดคุยกับงูได้ ฯลฯ
ถ้าหากว่าคุณมีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่กับคุณ คุณจะสั่งให้ภูเขานี้เลื่อนลงไปในทะเลได้ กระทำการรักษาคนป่วยได้ ฯลฯ
นักเทศน์ดีๆหลายท่านสามารถที่จะเทศนาได้ดีแต่ไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ ดังนั้นจึงทำให้พวกเขาไม่สามารถที่จะเข้าใจไบเบิ้ลได้ดี ซึ่งทั้งเล่มของไบเบิ้ลนั้นได้สอนให้เราสร้างจิตวิญญาณของเรา หลายๆคริสตจักรได้เปลี่ยนแปลงมันไปเป็นการทำนายชีวิต

เมื่อพระเยซูตรัสว่า เราจะทำลายวิหารนี้ลงเสียในวันนี้และจะสร้างขึ้นใหม่ภายในสามวัน...สาวกของพระองค์ไม่เข้าใจมันจนกระทั่งถึงวันฟื้นคืนพระชนม์... เช่นกัน...ในวันนี้คริสตจักรก็ไม่เข้าใจในสิ่งเหล่านี้

พระเยซูทรงใช้เรื่องสั้นในการสอน...มันเต็มไปด้วยการช่วยสร้างจิตวิญญาณให้กับชีวิต ดูในยอห์นบทที่14....มีเพียงพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้นที่สามารถเป็นครูของคุณได้...เมื่อคุณอ่านในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลคุณจะเข้าใจมันได้ง่ายมา เพราะว่าจิตวิญญาณใหม่ของคุณได้ถูกสอนโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์

ถวายตัวแด่พระเจ้า ยกย่องพระนามของพระองค์ เชื่อฟังพระบัญญัติและมีศรัทธา...เราจะต้องจริงใจด้วย และถ่อมตัวลง แล้วคุณจะได้รับวิญญาณดวงใหม่

ในวันนี้หลายๆคริสตจักรหรือศิษยาภิบาลหลายท่านไม่เข้าใจว่าคำทำนายคืออะไร...แทนที่พวกเขาจะทำนายเรื่องของอนาคตและสิ่งที่อยู่ในไบเบิ้ล เช่นเดียวกันกับชาวแอฟริกันและอินเดีย พวกเขาชอบที่จะเป็นผู้พยากรณ์และเริ่มมีคำทำนายที่ไม่ถูกต้อง

ในมัทธิว 24:36 พระเยซูตรัสว่า “แต่วันนั้น โมงนั้น ไม่มีใครรู้ ถึงบรรดาทูตสวรรค์หรือพระบุตรก็ไม่รู้ รู้แต่พระบิดาองค์เดียว”

พระเยซูทรงรู้ว่าพระองค์ต้องถูกตรึงกางเขนซึ่งพระองค์ได้เตรียมพระองค์เองไว้แล้ว....แต่พระองค์ไม่ทราบว่าจะเป็นวันไหนเวลาไหน ซึ่งหมายความว่าไม่มีใครที่จะสามารถรู้เรื่องของวันพรุ่งนี้

ใครสามารถไขประตูปริศนาของพระเจ้าได้....ไม่มีเลย....แต่ผู้ทำนายหลายๆคนอ้างว่าพวกเขาสามารถไขปริศนานี้ได้

พระเยซูได้ตรัสเอาไว้ชัดเจน...โมงนั้นไม่มีใครรู้ มีเพียงซาตานเท่านั้นแหละที่ชอบการทำนาย

ศิษยาภิบาลที่ทำนายเรื่องชีวิตของคุณนั้น พวกเขาไม่ได้มีความรัก และความห่วงใยคุณมากกว่าที่จะชอบหาเงิน

กลับมาที่ มัทธิว 7:21-23 “มิใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้ เมื่อถึงวันนั้นจะมีคนเป็นอันมากร้องแกเราว่า พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์กล่าวพระวจนะในพระนามของพระองค์และได้ขับผีออกในพระนามของพระองค์และได้กระทำการอัศจรรย์เป็นอันมากในพระนามของพระองค์ มิใช่หรือ เมื่อนั้นเราจะได้กล่าวแก่เขาว่า เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย เจ้าผู้กระทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา”

วันนี้คริสเตียนอ้างว่า พวกเขาได้นำพาผู้คนให้ไปหาคริสตจักร พวกเขาได้ออกไปกระทำพันธกิจ ได้กระทำการรักษาคนป่วย ฯลฯ สิ่งเหล่านั้นไม่ได้พาเราเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้าได้ คริสตจักรได้วางแผนการหลายๆอย่างให้กับคริสเตียน แต่สิ่งหนึ่งคือไม่เคยสอนพวกเขาว่าจะเลี้ยงดูจิตวิญญาณได้อย่างไร

พระวิญญาณจะเป็นผู้ตัดสินใจเองเมื่อคุณจะต้องออกไปกระทำพันธกิจหรือมีแผนการณ์อะไรก็ตาม นั่นหมายความว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับคุณ...พระเจ้าทรงรู้จักคุณตั้งแต่คุณยังอยู่ในครรภ์ของมารดา ดังนั้นพระองค์ทรงรู้ว่าเราสามารถที่จะกระทำอะไรได้บ้างมากน้อยแค่ไหน

วันนี้ ผู้ที่ตายแล้วในคริสเตียนหรือผู้ที่เชื่อฟังคริสตจักรมากกว่าพระเจ้า...พระเยซูจะตรัสว่า เราไม่รู้จักพวกเจ้าเลย...นั่นเพราะว่ามนุษย์ไม่ได้ทำตามแผนการณ์ของพระเจ้า พวกเราจะต้องรอจนกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเรียกเราให้ออกไป แล้วเราก็จะออกไปด้วยพระวิญญาณ

มันไม่ได้เป็นการช่วยเหลือวิญญาณ 100 ดวง หรือเป็นล้านดวง....มันแล้วแต่แผนการของพระเจ้าและเวลาของพระองค์

ศิษยาภิบาลบางท่านอ้างว่าเขาเป็นหนึ่งที่ได้รับการเจิม..ยอห์นบทที่ 14 ได้กล่าวไว้ว่า พระเยซูไม่ได้บอกว่าจะมอบมันให้กับเฉพาะคนที่เป็นศิษยาภิบาลเท่านั้น...แต่มีให้กับทุกๆคนที่ต้องการค้นหาเพื่อแสวงหาการเกิดใหม่ของจิตวิญญาณ

ไม่ใช่ว่าจะแล้วแต่มนุษย์ที่จะเป็นผู้ตัดสินใจเพื่อมนุษย์ แต่มันแล้วแต่ว่าพระเจ้าจะทรงตัดสินพระทัย...ไม่มีใครที่จะสามารถมาแทนที่พระเจ้าได้...นั่นเป็นเหตุผลที่ทำไมหลายๆคริสตจักรและศิษยาภิบาลจึงไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ด้วย

ลูกา 10:2 พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ข้าวที่ต้องเกี่ยวนั้นมีมากแต่คนงานยังน้อยอยู่ เหตุฉะนั้น พวกท่านจงอ้อนวอนพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าของนา ให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวพืชผลของพระองค์”

เมื่อศิษยาภิบาลหรือคริสตจักรเรียกให้คุณออกไป...มันไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นจะต้องทำตาม แต่เมื่อใดที่พระวิญญาณทรงเรียกเรานั้น เราจำเป็นที่จะต้องทำตามการเรียกของพระวิญญาณ

แต่ละคนมีวิญญาณ มันขึ้นอยู่ที่ว่าคุณจะถวายตัวให้แด่พระเจ้าหรือไม่ การถวายตัวหมายถึงการค้นหาพระเจ้าเพื่อแสวงหาการให้อภัยจากพระองค์ และบอกพระองค์ว่า “ข้าพระองค์ขอถวายตัวและจิตวิญญาณของข้าพระองค์แด่พระองค์” ต้องเชื่อฟังพระบัญญัติใหญ่, มีความถ่อมตัว, กลับใจทุกๆวัน, ซื่อสัตย์และจริงใจต่อพระเจ้า คงรักษาและปฏิบัติไว้จนกว่าคุณจะสามารถสัมผัสถึงพระเจ้า (มันไม่ใช่การกระทำเพียงแค่ครั้งเดียว มันต้องใช้เวลาเป็นอาทิตย์ เป็นเดือน หรือเป็นปี)

ดังนั้นเตรียมตัวเองที่จะรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ คุณจะสามารถพูดได้ด้วยไฟแห่งพระวิญญาณและอธิษฐานด้วยไฟแห่งพระวิญญาณ จำไว้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์คือทุกสิ่งทุกอย่างของคุณเหมือนอย่างที่พระเยซูได้ตรัสเอาไว้

พระเจ้าอวยพร

Pastor Steve Peter H S Kok

จงระวัง ซาตานก็สามารถทำได้

ผมอยากจะขอยกตัวอย่างง่ายๆว่าซาตานทำงานอย่างไร

สมมติว่าคุณคือผู้เชื่อชาญด้านไอทีคนหนึ่ง และคุณก็ทำดีมาตลอดในชีวิตของคุณ แล้ววันหนึ่งฐานะทางการเงินของคุณเริ่มมีปัญหา และคุณได้อธิษฐานอย่างหนักเพื่อให้พระเจ้าทรงช่วยแก้ปัญหา แล้วจู่ๆก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาหาคุณและพูดว่า “พระเจ้าทรงส่งฉันมาหาคุณ...นี่เป็นเงินของคุณ” จากนั้นคุณก็เริ่มเป็นหนี้โดยที่คุณไม่รู้ตัว แล้วคุณยังบอกอีกว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนดีพระเจ้าทรงส่งเขามา และจากนั้นคุณจำเป็นต้องใช้เงินเพื่อเป็นทุนการศึกษาของลูกของคุณ ผู้ชายคนนั้นก็กลับมาหาคุณและให้เงินคุณอีก จนมาวันหนึ่งเขากลับมาหาคุณและบอกให้คุณไปถอนเงินที่มีอยู่ในบัญชีของคุณออกมาให้หมด แล้วนำไปเข้าบัญชีของเขา

คุณบอกเขาว่าทำอย่างนั้นมันไม่ถูกต้อง และคุณก็ทำไม่ได้ ผู้ชายคนนั้นจึงบอกกับคุณว่า คุณไม่มีทางเลือก คุณจำเป็นต้องทำ เพราะถ้าคุณไม่ทำคุณก็ต้องเป็นหนี้เพราะว่าคุณได้ยืมเงินของเขามา

คุณคิดว่าสิ่งเหล่านี้มาจากพระเจ้าหรือซาตาน.... มันมาจากซาตาน มีเพียงเฉพาะพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะสามารถเตือนภัยให้คุณได้ โดยคุณจะต้องตายจากวิญญาณเก่านั้นเสียก่อน (หมายถึงถวายตัวให้กับพระเจ้า) แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์จึงจะสามารถสถิตอยู่กับคุณได้
พระเจ้าอวย
Pastor Steve Peter H S Kok

เชื่อฟังการเรียกของพระองค์

ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา อยู่ๆผมก็เกิดไม่สบายกระทันหัน มีอาการเป็นไข้ ท้องเสีย ร้อนในเป็นแผลในปาก ซึ่งจะเป็นอาทิตย์ละสองวันต่อเนื่องกันไปเป็นเวลาสี่สัปดาห์ ตอนนี้ผมก็เลยไปหาหมอที่คลีนิคเพื่อตรวจดูอาการ หมอบอกว่าอาจจะเป็นเพราะอาหารเป็นพิษ หรือไม่ก็ลำไส้ติดเชื้อ

ช่วงเวลานี้ทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์เมื่อสองปีที่ผ่านมา พระเจ้าทรงตรัสกับผมและบอกให้ผมลาออกจากงานในตำแหน่ง Computer Professional ที่ผมทำอยู่ แล้วก็ออกมารับใช้เต็มเวลา แต่ผมเก็บคำพูดเอาไว้ว่า “ไม่” และก็ชลอให้มันล่าช้าลงไปอีก ซึ่งผมทำอย่างนั้นเป็นเวลาหกเดือนถึงหนึ่งปี....แล้วในที่สุดพระเจ้าก็ทรงย้ำหนักแน่นว่า “ไม่ได้ เจ้าต้องไปกระทำภารกิจเดี๋ยวนี้”

ในระหว่างที่ผมชลออยู่นั้น ก็เกิดหลายสิ่งหลายอย่างขึ้นในชีวิตของผม รถของผมเสียอย่างที่อธิบายสาเหตุไม่ได้หลายๆครั้งภายในเดือนเดียว แล้วก็ยังมีไฟฟ้าในห้องของผมถูกตัดแม้ว่าผมจะได้ชำระบิลไปแล้ว และอีกหลายๆสิ่งที่คาดไม่ถึง ผมหัวเสียมาก...แล้วผมก็ตกใจไม่น้อยเมื่อตระหนักได้ว่า บางทีอาจจะเป็นเพราะผมไม่ได้นึกถึงพระเจ้าของผม และผมก็เริ่มพูดกับตัวเองว่า “ผมคงจะไม่ได้ใช้เวลาอย่างจริงจังในการที่จะฟังสุรเสียงของพระองค์ และก็เชื่อฟังพระองค์ พระองค์ทรงเรียกเราหรือ”...โอใช่แล้ว ธรรมชาติของมนุษย์ก็มักที่จะเชื่อฟังความคิดของตัวเองและทำตามความรู้สึกของตัวเอง และมักจะมองหาช่องทางที่สะดวกสบายแล้วก็กระทำการเพียงเล็กๆน้อยๆเพื่อพระเจ้า แต่บ่อยครั้งที่เราจะพบว่าเพราะความดื้อดึงของเราที่ทำให้เราต้องจ่ายมันด้วยราคาแสนแพงเช่นเดียวกับผม

สิ่งที่น่ากลัวเกิดขึ้นกับผม!

ย้อนกลับไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2551 ในช่วงต้นเดือน พระเจ้าทรงเรียกผมให้ผมเดินทางออกจากประเทศไทยไปที่ประเทศอื่น แต่ผมบอกว่าขอเลื่อนไปเป็นเดือนกุมภาพันธ์ 2552 แล้วมันเกิดอะไรขึ้นเมื่อผมเลื่อนกำหนดการเดินทางออกไป คำตอบคือ ผมเริ่มเจ็บป่วย และสุขภาพเริ่มอ่อนแอลง

ดังนั้น ทั้งหมดมันกระจ่างชัดขึ้น และผมรู้ว่าผมไม่ควรที่จะเลื่อนกำหนดให้มันล่าช้าไปกว่านี้อีกแล้ว ผมควรที่จะต้องตัดสินใจไปก่อนหน้านี้หนึ่งเดือน ซึ่งสำหรับการเรียกของพระเจ้านั้นพระองค์ทรงหมายถึงธุรกิจของพระองค์กับเรา และเรามักจะต้องเชื่อฟังและทำตามเสมอ ห้ามล่าช้าและห้ามแก้ตัว อาเมน

วันที่ 10 พฤศจิกายน พระเจ้านำผมกลับไปที่เว็ปไซด์ต่อไปนี้ http://faithwithyou.blog.com/4125908/ และที่แท็บนี้ คุณจะได้พบถ้อยคำของพระเจ้าที่มอบให้แก่เราDear brothers and sisters in Christ....



วันที่ 1 พฤศจิกายน มีศิษยาภิบาลท่านหนึ่งได้มาเชิญผมและภรรยาให้ไปร่วมในงานเปิดห้องเย็นและอุทิศบ้านให้แก่กลุ่มชนชาวเขาที่จังหวัดปทุมธานี งานนี้จัดขึ้นโดยผู้นำชาวเขาจากเชียงใหม่ซึ่งเดี๋ยวนี้เขาเป็นคริสเตียน ก่อนที่จะงานจะสิ้นสุดลง ผมได้รับเชิญให้เป็นผู้อธิษฐานปิดภายในงาน ภรรยาผมชื่นชมที่ได้เป็นพยานในการทำงานของพระเจ้าผ่านชีวิตคริสเตียนไทยเหล่านี้




วันถัดไปผมได้รับเชิญให้ไปเทศนาที่คริสตจักรใจสมานบางปะอิน ภรรยาของผมเป็นล่ามเพื่อแบ่งปันพระคำของพระเจ้าเป็นภาษาไทย วันนั้นผมได้แบ่งปันเกี่ยวกับเรื่องของคำพยากรณ์เกี่ยวกับวันสิ้นยุค และในช่วงบ่ายพวกเราก็เข้าไปที่พระบรมหาราชวัง(พระราชวังบางปะอิน)ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับโบสถ์...ในตอนเย็นวันนั้นเราก็ได้ไปที่หมู่บ้านหนึ่งซึ่งมีโครงการในอนาคตว่าจะก่อตั้งเป็นคริสตจักร ที่นี่มีบ้านหลังเล็กๆชื่อว่า “บ้านเบ็ทเลเฮ็ม” ซึ่งเจ้าของบ้านได้ตั้งชื่อไว้อย่างเหมาะสม


วันอาทิตย์ต่อไปผมถูกเชิญให้ไปเทศนาที่คริสตจักรนวนคร สิ่งที่ผมจะแบ่งปันที่นั่นคือเรื่องเกี่ยวกับโยนาห์ ความสำคัญของการอดอาหาร และการอธิษฐานเพื่อเมืองนีนะเวห์ และสิ่งนี้ก็สัมพันธ์กันกับการสร้างอาณาจักรของพระเจ้าในประเทศไทยด้วย

ขอพระเจ้าอวยพระพรทุกๆคน


Pastor Steve Peter H S Kok

MERRY CHRISTMAS 2008 AND HAPPY NEW YEAR 2009


พระเจ้าทรงรักษามะเร็งร้าย ระยะสุดท้ายของผม

เมื่อประมาณห้าปีมาแล้ว ผมป่วยเป็นโรคมะเร็งในลำไส้ ในช่วงที่ผมเป็นนั้น สภาพของผมไม่เหมือนกับทุกวันนี้ จะเดินเหินไปมาก็ไม่สะดวก บังเอิญว่ามีอยู่วันหนึ่ง ผมออกจากโรงพยาบาลจุฬาฯแล้วก็ข้ามถนนมาที่ฝั่งนี้(สวนลุม) แล้วก็เข้ามาที่เกาะลอยนี้ ก็บังเอิญได้เจอกับผู้ปกครองเกียรติกับคุณอัญชลี พอพวกเขาเห็นสภาพผม เขาก็ถามผมว่าเป็นอะไร ไปทำอะไรมา ในวันนั้นผมถือเอกสารของโรงพยาบาลมาด้วยก็เลยบอกเขาว่า ผมเป็นมะเร็งในลำไส้และตอนนี้ก็ลามมาถึงที่ตับแล้ว ตอนนี้ก็ฉายแสงมาทั้งหมด 7 ครั้ง และก็ให้คีโมมา 6 เดือนแล้ว ในสภาพผมตอนนี้ยังไม่หายดี (ที่จริงหมอบอกว่าผมเป็นระยะสุดท้ายและก็รักษาไม่ได้แล้ว) แล้วคุณอัญชลีก็เลยถามผมว่าอยากจะหายจากโรคนี้ไหม ซึ่งตัวผมเองเป็นโรคนี้ก็แน่นอนว่าผมอยากหายอยู่แล้ว คุณเกียรติกับคุณอัญชลีก็เลยบอกว่า ถ้าอยากหายก็อาทิตย์หน้าให้มาที่เกาะลอยนี้เวลา 8.00 น. อีกครั้ง หลังจากนั้นพวกเขาก็ให้เงินผมมา 50 บาท เพื่อไปทานข้าว ในขณะที่ผมกำลังทานข้าวอยู่นั้น ผมก็คิดในใจว่า ขนาดหมอที่โรงพยาบาลยังรักษาผมไม่ได้เลย แล้วอะไรกันนี่ ไอ้สิ่งที่ผมมองไม่เห็นนี่หล่ะจะมาสามารถรักษาผมให้หายได้อย่างไร

แล้วพอวันเสาร์ต่อมา ผมก็กลับมาที่สวนลุมแห่งนี้อีกครั้งหนึ่ง แต่ผมก็เดินผ่านเกาะลอยนี้ไป แต่แล้วเหมือนว่ามีอะไรบางอย่างมาดลใจผม ให้ผมหันกลับและเดินมาที่เกาะลอยแห่งนี้ จากนั้นผมก็ได้ยินเสียงเพลงอันไพเราะ ผมก็เลยสงสัยว่าเอ๊ะ...ที่นี่เขามีอะไรกันหรือ ก็เลยเดินเข้ามานั่ง ปรากฏว่าก็มีหลายๆคนที่เข้ามาให้การต้อนรับผมเป็นอย่างดี หลังจากนั้นก็มีคนกล่าวต้อนรับและแนะนำให้ทุกๆท่านทราบว่าตอนนี้มีคนเข้ามาใหม่เพิ่มอีกหนึ่งคน แล้วเขาก็ให้ผมแนะนำตัวว่าผมเป็นใคร ชื่ออะไร

ผมชื่อ นายสุเมธ บุญธนวัฒน์ จากนั้นเขาก็ถามว่าผมเป็นอะไรมา ผมก็ตอบว่า ผมเป็นมะเร็งในลำไส้ซึ่งก็รักษามาเป็นเวลา 3-4 ปีแล้ว แต่ก็ไม่หาย หลังจากนั้นทุกๆคนก็ช่วยกันอธิษฐานให้ผม และ 6 เดือนหลังจากนั้นผมก็มารับเชื่อ และทุกๆวันเสาร์ผมต้องมาที่เกาะลอยแห่งนี้ และวันอาทิตย์ผมก็จะต้องไปโบสถ์

ครั้งสุดท้ายที่ผมไปโรงพยาบาล คือวันที่ผมเดินมาที่สวนลุม ที่เกาะลอยแห่งนี้ และอีกหกเดือนหมอก็ได้นัดผมให้ไปตรวจอีกครั้งที่โรงพยาบาลจุฬาฯเพื่อเอกซ์เรย์ หมอที่รักษาผมก็ได้ถามผมว่า ลุงไปรักษาที่ไหนมาหรือเปล่า ผมก็บอกว่าเปล่า ตั้งแต่ผมไปเอาใบส่งตัวจากโรงพยาบาลมเหสักข์เพื่อมารักษาที่โรงพยาบาลจุฬาฯ ผมก็ไม่ได้ไปที่ไหนอีก

หมอก็บอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ คุณลุงเชื่อหรือไม่ว่าไอ้จุดของมะเร็งที่ตับของลุงตอนนี้นะ มันไม่มีแล้ว มันหายไปแล้ว ผมก็เลยคิดว่า ไม่มีแล้วก็ไม่เป็นไรนี่ แล้วหลังจากนั้นอีกไม่กี่วัน หมอก็นัดให้ผมไปเอกซ์เรย์อีกครั้งหนึ่งที่ศูนย์เอกซ์เรย์ที่บริเวณอุรุพงษ์ พอผลเอกซ์เรย์ออกมา หมอก็บอกว่า มันน่าอัศจรรย์จริงๆ เพราะรู้สึกว่ามะเร็งที่ลำไส้ของลุงมันจะไม่มีแล้วนะ มันหายไปแล้ว

หมอที่นั่นก็ถามผมอีกว่าไปรักษาตัวที่ไหนมา หลังจากนั้นผมก็เลยเล่าให้หมอฟังว่า ผมไม่ได้ไปรักษาที่ไหนเลยแต่ว่าผมไปรับเชื่อพระเจ้า หมอก็ถามว่าพระเจ้าอะไรหรือ ผมก็ตอบหมอไปว่า ก็พระเยซูเจ้าไงหล่ะ หมอก็ยังถามต่อไปอีกว่า แล้วเขาทำกันยังไง ผมก็ตอบไปว่าก็ไม่มีอะไรมาก ผมก็อธิษฐานถึงพระองค์ทุกเช้า ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าทุกๆเช้า และก็ศึกษาพระคัมภีร์ทุกๆเช้า ส่วนวันเสาร์ผมก็จะมาฟังอาจารย์เทศนาพระคำของพระเจ้าที่สวนลุม

นอกจากนี้แล้วก็ยังเป็นพยานให้อีกหลายๆคนฟังว่า พระเจ้าทรงกระทำการอัศจรรย์รักษาผมให้หายจากโรคมะเร็งร้ายได้อย่างไร ผมหายจากโรคมะเร็งมาได้เกือบ 5 ปีแล้ว และตอนนี้สุขภาพของผมก็แข็งแรงดี

เรื่องตรงนี้ใครจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ แต่ผมรู้ว่าพระเจ้าทรงอยู่กับเรา และพระองค์ทรงรักษาผมให้หายจากโรคมะเร็ง ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงรักษาผมให้หาย ตอนนี้มีหลายๆคนในโรงพยาบาลไม่เชื่อผม และสงสัยว่าผมหายจากโรคได้อย่างไร ผมเอาเอกสารที่หมอระบุว่าผมเป็นมะเร็งลำไส้ระยะสุดท้าย ซึ่งได้ลามมาถึงตับแล้ว และผลเอกซ์เรย์ออกมาว่าผมหายจากโรคแล้วหลังจากที่ผมได้มารับเชื่อ

พระเจ้าทรงมีอยู่จริง ถ้าไม่เช่นนั้น ผมก็อาจจะไม่ได้มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้วก็ได้ ห้าปีแล้วที่ผมได้รับบัพติศมาแล้วที่คริสตจักรใจสมาน ผมขอบคุณพระเจ้าสำหรับการช่วยเหลือผู้ยากไร้อย่างผม

Bro. สุเมธ บุญธนวัฒน์

เคยถวายผ้าป่าช่วยชาติด้วยเงินดอลล่าห์...ทำบุญ50ล้านก็ไม่สามารถไปสวรรค์ได้

ผม ดร.กำจร เชาวน์รัตน์ อดีตเคยเป็นลูกศิษย์ของหลวงตามหาบัว และเป็นทำการถวายผ้าป่าช่วยชาติ ตัวผมเองนั้นทองคำในคอก็ไม่เคยใส่ แต่ผมได้ถวายทองคำหนักเป็นสิบๆกิโลให้กับวัด นอกจากนี้ผมยังเป็นผู้ที่บริจาคเงินหลายร้อยล้านเพื่อสร้างตึกสงฆ์ของโรงพยาบาล เหตุผลที่ผมทำเช่นนั้นก็เพราะว่าอยากไปสวรรค์ เพราะผมเคยถูกสอนมาว่า กรรมดีกับกรรมชั่วไม่สามารถหักล้างกันได้ และตัวผมเองไม่เคยทำกรรมหนักๆ แต่กรรมเบาๆนั้นทำทุกวัน เช่น ตบยุง ฆ่ามด ก็เลยเกิดความรู้สึกกลัวว่าจะไปสวรรค์ไม่ได้

ผมเคยเป็นนายธนาคาร เคยเป็นวุฒิสมาชิก เคยเป็นผู้จัดรายการธรรมะทางทีวีทุกวันจันทร์ พุธ ศุกร์ และเคยเป็นอีกหลายๆอย่าง แต่ก็ไม่เคยภาคภูมิใจเท่ากับการได้มาเป็นลูกของพระเจ้า ในอดีตนั้นผมเข้มแข็งมากในพระพุทธศาสนา และพระหลายๆท่านก็รู้จักผมดี ซึ่งตอนนี้หลายๆคนก็สงสัยว่าผมนั้นมาเป็นลูกของพระเจ้าได้อย่างไร นั่นเป็นเพราะพระองค์ทรงเรียกผม

ผมเป็นคนชอบร้องเพลง และเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว อยู่ดีๆผมก็รู้สึกคิดถึงพระเจ้า วันหนึ่งผมกำลังร้องเพลงของ Elvis Presley ผมร้องเพลงของเขาตามเนื้อเพลงที่เขาร้องมาเป็นเวลาสามสิบปี ซึ่งผมเองก็ไม่เคยสนใจเนื้อหาของเพลงเลย แต่เนื้อหาของเพลงที่ผมได้ร้องในวันนั้น มันเป็นเพลงในอัลบัมเกี่ยวกับการนมัสการพระเจ้า และทำให้ผมได้รู้สึกถึงพระเจ้าขึ้นมา

ผมมีลูกสะใภ้เป็นหมออยู่ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎ เขาเป็นคริสเตียน และเขาก็พยายามนำให้ข้าพเจ้าเป็นคริสเตียน แต่ข้าพเจ้าไม่สนใจ วันนึงเขาได้ชวนภรรยาข้าพเจ้าไปเข้าค่ายคริสเตียนสองคืน ซึ่งในเวลานั้นก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะว่าถือว่าเป็นการไปเที่ยวทะเล แต่ปรากฏว่าเมื่อภรรยาของผมกลับมาก็มา เธอก็มาเล่าถึงความประทับใจในพี่น้องที่เป็นคริสเตียน จากนั้นเธอก็ชวนให้ผมไปเป็นคริสเตียนกัน ผมนั้นนึกขอบคุณพระเจ้าเพราะว่าตัวผมเองนั้นอยากที่จะเป็นคริสเตียนอยู่แล้ว แต่ว่าไม่กล้าบอกกับภรรยา กลัวว่าเธอจะไม่ยอมรับและก็ต้องมาต่อว่าผม เพราะผมเห็นเธอค่อนข้างเคร่งครัดในพระพุทธศาสนา เธอสวดมนต์ไหว้พระเป็นประจำทุกวัน รวมทั้งถือศีลกินเจด้วย แต่แล้วจู่ๆเธอก็มาชวนผม ผมก็แกล้งทำท่าอิดออด แต่ในใจนั้นยินดีเป็นอย่างยิ่ง ก็ขอบคุณพระเจ้า

มีหลายๆสิ่งหลายๆอย่างเกิดขึ้นในชีวิตของผมมากมาย พระเจ้าทรงกระทำการอัศจรรย์ในชีวิตของผมหลายครั้ง แต่ว่าผมก็ไม่ได้คิดอะไรนอกจากคำว่า “ฟลุ๊ค”

ผมมีอาการนิ้วล็อคที่หัวแม่โป้งขวา ค่อนข้างทรมานมาก ก็ได้ไปให้แพทย์ตรวจที่โรงพยาบาลวิชัยยุทธ หมอบอกว่าต้องผ่าตัดเพราะว่าเป็นพังผืด แต่ว่าต้องทำใจว่าเมื่อผ่าตัดเสร็จแล้ว สภาพของนิ้วจะไม่เหมือนเดิมนั่นคือ นิ้วจะไม่มีแรงแม้แต่จะถือหรือยกแก้วขึ้นมาได้เพราะว่าแก้วก็จะร่วงหล่นลงมา ผมก็กังวลมากจึงอธิษฐานถึงพระเจ้าขอให้พระองค์ทรงช่วย ปรากฏว่าเช้าวันรุ่งขึ้นนิ้วของผมก็หายเป็นปกติ กระผมเชื่อแล้วว่าพระเจ้าทรงกระทำการอัศจรรย์ ไม่ใช่การฟลุ๊คหรือบังเอิญ เมื่อผมกลับไปหาหมอ หมอก็ตกใจมากและได้ถามว่าผมไปทำอะไรมา มันน่าอัศจรรย์จริงๆเพราะว่าหมอเตรียมจะผ่าตัดให้ผมอยู่แล้ว ผมก็เลยตอบหมอไปว่า ผมมีหมอดีอยู่บนโน้น นั่นคือองค์พระเยซูคริสต์ของผม

ตัวผมเองเมื่อก่อนผมเคยแขวนพระมูลค่าสิบล้านยี่สิบล้าน แต่เดี๋ยวนี้ผมไม่แขวนแล้ว เพราะผมมีพระเจ้าอยู่ในใจของผม ดังนั้นผมจึงไม่จำเป็นต้องแขวนอะไรไว้ที่คออีก

วันนี้ผมได้พบกับเจ้าของวิญญาณของผม พระผู้สร้างของผม ผมพบทุกสิ่งทุกอย่างของผมแล้ว เหมือนกับเพลงที่ผมร้อง His hand in mine พวกเรานั้นเกิดมาบนโลกใบนี้ไม่มีใครถืออะไรติดตัวมาใช่ไหม เราต้องมาหากันเอาเอง ถึงแม้ว่าเราจะรวยกว่าบิลเกต แต่วันนึงเราก็ต้องตาย แล้วชีวิตหลังความตายนั้นพวกเราจะไปไหน แน่นอนว่าทุกคนอยากจะไปสวรรค์ แล้วคุณจะไปสวรรค์ได้อย่างไรในเมื่อคุณยังไม่รู้จักกับเจ้าของสวรรค์เลย

มีหลายๆคนมาถามผมว่า เป็นคริสเตียนแล้วลำบากใจไหม ผมอยากจะบอกว่าผมไม่ลำบากใจเลย แต่ผมกลับยิ้มแย้มแจ่มใส สิ่งที่ผมอยากจะกล่าวถือต่อไปนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก นั่นคือบัญญัติสิบประการของพระเจ้า

เคยได้ยินใช่ไหมว่า ห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามโกหก ห้ามลักทรัพย์ ห้ามกินเหล้า ห้ามผิดประเวณีผัวเมียเขา นี่คือศีลห้าที่ผมเคยยึดถือและปฏิบัติ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “โลกนี้เป็นอนิจจัง” โลกธรรมแปดที่ผมเคยถือมามีว่า “มีลาภก็เสื่อมลาภ มียศก็เสื่อมยศ” และในหนังสือปัญญาจารย์ได้กล่าวไว้ว่า “มีวาระเกิดก็มีวาระตาย มีวาระเจ็บก็มีวาระหาย มีวาระหัวเราะก็มีวาระร้องไห้” ซึ่งไม่ได้ต่างกันเลย แม่แต่ “เมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา” ซึ่งพระเจ้าของเราก็มีความรัก และเมื่อเรามีความรักเราก็จะไม่เกลียดใคร พระองค์ทรงสอนไว้ว่า “ถ้าใครตบแก้มซ้ายให้ยื่นแก้มขวาให้อีก” แต่ไม่เคยสอนว่า ถ้าใครตอบแก้มซ้ายก็ให้เอาหมัดขวาสวนตอบ

คำสอนของพระเจ้านั้นไม่ยากเลยที่เราจะปฏิบัติ ในทางของพระเจ้านั้นมีทางเพียงแค่สองทางนั่นคือ ถ้าทำดีเราก็ไปสวรรค์นิรันดร์ แต่ถ้าทำบาปเราก็ต้องไปนครนิรันดร์ เราไม่ต้องมาเกิดใหม่อะไรอีกแล้วเพราะว่าเราจำอะไรไม่ได้ เราเคยถูกสอนมาว่าเรื่องชาตินี้ ชาติโน้น เอาแค่ว่าเรานึกจะไปหยิบของบางทีเราก็จำไม่ได้แล้วว่าเราจะไปหยิบอะไร หรือถ้าถามว่าเมื่อสัปดาห์ที่แล้วคุณทานอะไร คุณยังจำไม่ได้เลย

วิญญาณของเรานั้นมาจากพระเจ้า ชีวิตของเรา เรามีพ่อเพียงสองคนนั่นคือพ่อผ่ายเนื้อหนังอันนี้เราก็ทราบดี และพ่อฝ่ายจิตวิญญาณนั่นก็คือพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นผู้สร้างเราขึ้นมา พวกเรามาจากพระองค์ ถ้าหากว่าชีวิตของเราเราไม่รู้จักผู้สร้างเราแล้ว คิดว่าอะไรจะเกิดขึ้น ดังนั้นเราจำเป็นที่จะต้องกราบไหว้สิ่งที่สร้างเรา ไม่ใช่กราบไหว้บูชาสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาเอง

เรานมัสการพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ไม่ได้กราบไหว้สิ่งที่ไม่มีตัวตน ชีวิตของคนเรานั้นสั้น ไม่มีใครที่จะไม่ตาย แต่ถ้าถามว่าชีวิตหลังความตายนั้นไปไหน ผมอยากจะฝากไว้ว่า อย่าไปเชื่อคำพูดที่ว่าไปนรกดีกว่ามีเพื่อนมากมาย อย่าไปสวรรค์เลยไม่ค่อยมีใคร มันไม่จริง เราเป็นลูกของพระเจ้า เราต้องกลับไปหาพระองค์

ผมขอยืนยันว่าพระเจ้าไมใช่ศาสนา พระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้าง คำว่าศาสนานั้นเพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน ทำไมเราจึงเรียกตัวเองว่าคริสเตียน คำว่าคริสเตียนนั้นหมายความถึงว่า การที่เราเป็นเหมือนพระคริสต์ เรามีความรักอย่างพระคริสต์ เราทำความดีเหมือนพระคริสต์

ทุกศาสนานั้นสอนให้คนเป็นคนดีนั้นใช่ ไม่ผิด แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผิดนั้นคือ “ความรอด” ถ้าเราไม่รู้จักพ่อฝ่ายวิญญาณแล้ว ต่อให้เรากระทำความดีมากมาย เราก็ไม่สามารถรอดได้ แล้วอะไรจะเกิดขึ้น สิ่งที่สำคัญคือเราต้องกลับไปหาพ่อของเรา กลับไปหาพระผู้สร้างเรามา และนั่นจึงจำเป็นที่เราต้องกราบไหว้สิ่งซึ่งสร้างเรามานั่นคือพระเจ้า ผมและภรรยา รวมถึงครอบครัวของผม พวกเราใช้เงินมหาศาลในการแสวงหาหนทางสู่สวรรค์ แต่พวกเราก็ไม่สามารแสวงหาหนทางไปสู่สวรรค์ได้

พวกเรามักจะพูดว่าชอบพูดว่า “เห็นก่อนแล้วจึงจะเชื่อ” แต่ว่าในทางของพระเจ้านั้น ท่านจำเป็นต้อง “เชื่อก่อนแล้วท่านจะเห็นสิ่งอัศจรรย์อย่างแน่นอน” พระเจ้าทรงอวยพรให้กับผมและครอบครัวอย่างมากมาย ผมขอบถวายชีวิตทั้งชีวิตของผมในการรับใช้พระเจ้า สุดท้ายนี้ผมอยากจะฝากพี่น้องไว้ว่า “คิดอะไรไม่ออก ให้บอกพระเจ้า” เอเมน

ดร.กำจร เชาวน์รัตน์

(อดีตสมาชิกวุฒิสภา)


เคยตั้งปณิธาณไว้ว่า..ชีวิตนี้จะไม่มีวันเปลี่ยนศาสนาเด็ดขาด

เมื่อสมัยที่อรยังเรียนอยู่ระดับประถมศึกษา เคยตั้งปฏิญาณกับตัวเองเอาไว้ว่าชีวิตนี้จะไม่มีวันเปลี่ยนศาสนาอย่างแน่นอน จะคงมั่นคงและยึดมั่นอยู่ในพระศาสนา แต่พอมาอยู่ระดับมัธยมปลายก็ได้มีโอกาสเห็นพระคัมภีร์ไบเบิลเป็นครั้งแรก ซึ่งน้าเป็นคนเอามาให้ซึ่งในตอนนั้นก็ยังไม่ค่อยรู้อะไรมากนัก ก็เลยถามน้าว่าเป็นหนังสืออะไร น้าก็บอกว่าเป็นพระคัมภีร์ลองเอาไปอ่านดูสิ ซึ่งอรก็แปลกใจว่าน้าไปเอาพระคัมภีร์เล่มนั้นมาจากไหน เพราะว่าที่บ้านของอรนับถือศาสนาพุทธ และน้าของอรก็นับถือศาสนาพุทธเช่นกัน และด้วยความอยากรู้ก็เลยหยิบมาอ่าน ซึ่งพอได้อ่านก็รู้สึกดีทำให้เราสบายใจ ถึงแม้ว่าจะอ่านไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ เลยคิดว่าจะเก็บไว้อ่านเวลาที่ตัวเองรู้สึกไม่สบายใจดีกว่า

หลังจากนั้นก็ผ่านไปอีกประมาณสี่ถึงห้าปีก็เป็นช่วงที่เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย ก็ได้มีโอกาสรู้จักกับเพื่อนคนหนึ่งซึ่งเขาเป็นคริสเตียน แล้วเพื่อนก็ชวนอรไปโบสถ์แต่อรไม่ได้ไปเพราะว่าไม่ว่าง แต่พอเรียนจบก็ทำงานแล้วก็ได้มีโอกาสมารู้จักกับพี่คนหนึ่งที่ทำงาน ชื่อพี่เจน ซึ่งทีแรกอรก็ไม่ทราบว่าพี่เขาเป็นคริสเตียน จนมาวันหนึ่งได้ยินพี่ที่ทำงานเขาคุยกันก็เลยทราบว่าพี่เจนเป็นคริสเตียน ซึ่งอรรู้จักกับพี่เขาก่อนวันคริสตมาสได้ไม่นาน และด้วยความที่ว่าเรามีคำถามมากมายที่อยากรู้และเก็บไว้ในใจมานานก็เลยถามพี่เขาว่าวันคริสตมาสเป็นยังไง หมายถึงอะไร แล้วทำไมคริสเตียนต้องไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ พี่เขาก็บอกอรทุกอย่างเกี่ยวกับพระเยซู และความหมายของวันคริสตมาส รวมถึงเรื่องของการไปโบสถ์ แล้วพี่เจนก็ได้ชวนให้อรไปร่วมงานวันคริสตมาสด้วยที่สวนลุมพินี ซึ่งอรก็ไม่ได้ปฏิเสธหรือว่าขอเวลาตัดสินใจ แต่อรกลับตอบตกลงไปในทันที ซึ่งพอหลังจากวันคริสตมาส อรก็มีความรู้สึกแปลกๆซึ่งบอกไม่ถูก ความรู้สึกเราอบอุ่น สันติสุข ความทุกข์ที่เคยแน่นอยู่ในอกเหมือนถูกยกออกไปหมดเลย รู้สึกสบายใจขึ้น ซึ่งพออรกลับบ้าน อรก็ได้อธิษฐานทุกวัน พี่เจนได้สอนให้อรอธิษฐาน และบอกอรว่า ถ้าอยากขอพรอะไร อยากพูดอะไร ก็ให้เราอธิษฐานถึงพระเจ้า แล้วก็อย่าลืมอธิษฐานเพื่อคนอื่นด้วย

หลังจากวันคริสตมาสได้หนึ่งอาทิตย์ พี่เจนชวนอรไปโบสถ์ และก็เช่นกันอรรีบตอบตกลงไปในทันที พี่เจนพาอรไปที่คริสตจักรใจสมานรามคำแหง และในวันนั้นหลังจากที่ฟังเทศนาเสร็จ อรก็ตัดสินใจรับเชื่อในทันทีด้วยเหตุผลอะไรอรก็ไม่ทราบ ทราบแต่ว่ารู้สึกอบอุ่น ตื้นตัน มีความสุข อาจจะเป็นเพราะว่าพระเจ้าทรงเรียกให้เรากลับให้หาพระองค์ ปกติอรเป็นคนที่ร้องไห้ยากมาก แต่วันนั้นน้ำตาอรซึมออกมาตลอดเวลา

ในวันนั้น ถึงแม้ว่าอรจะรับเชื่อแล้ว แต่ในใจอรยังรู้สึกเป็นกังวลอยู่ ด้วยเหตุผลเพราะว่าทางบ้านเรานับถือศาสนาพุทธ ก็เลยกลัวว่าทางบ้านจะไม่ยอมรับเราที่เราเปลี่ยนศาสนา แต่พี่เจนบอกว่าไม่ต้องกังวล พระเจ้าจะทรงเตรียมทางให้เราขอให้เราเข้มแข็ง มีความเชื่อ และไม่หวั่นไหว แล้วพระองค์จะทรงเปิดทางให้ ตอนนี้อรไม่กังวลอะไรแล้ว เพราะอรรู้สึกดี สบายใจ ก็ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงนำทางให้อรกลับมาหาพระองค์

ในความคิดของอร อรคิดว่าคำสอนต่างๆในศาสนาพุทธกับศาสนาคริสตนั้นไม่ได้แตกต่างกันสักเท่าไหร่ สิ่งหนึ่งที่พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ว่าให้ทุกๆคนรอเพื่อที่ว่าจะมีคนอีกคนนึงมาโปรดมนุษย์ให้รอดพ้นจากความทุกข์นั้น ซึ่งน่าจะหมายถึงพระเยซูคริสต์ เพราะพุทธศาสนานั้นเกิดก่อนคริสตศาสนา และผู้ที่พระพุทธเจ้าเคยตรัสถึงว่าจะมาเป็นผู้ที่ช่วยให้พวกเรารอด ไม่น่าจะเป็นใครไปได้นอกจากพระคริสต์ของเรา

หลังจากที่อรได้ตัดสินใจรับเชื่อแล้ว ชีวิตของอรก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น จากที่เมื่อก่อนเราจะมีเรื่องกังวลเยอะแยะมากมาย บางครั้งคิดมากจนสับสน จนเบลอ ชีวิตของเราดูวุ่นวายเหลือเกิน แต่ตอนนี้กลับรู้สึกสบายใจขึ้น เหมือนว่าพระเจ้าทรงแบกเอาความทุกข์ของเราออกเสีย ส่วนเรื่องงานก็ดีขึ้น ด้วยความที่ว่าอรเพิ่งจะเปลี่ยนงานใหม่ก็เลยค่อนข้างจะมีอุปสรรค และปัญหาติดขัดหลายอย่าง แต่พระเจ้าก็ทรงอวยพระพรให้กับอรด้วย ตอนนี้ทุกอย่างดีค่ะ ก็ขอบคุณพระเจ้าสำหรับพระพร และทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงประทานมาให้แก่อร อรคิดว่าคำพยานของอรอาจจะช่วยหนุนใจพี่น้องที่เป็นคริสเตียนใหม่ หรือที่กำลังอยู่ในระหว่างการตัดสินใจ อรอยากจะบอกว่าอย่ารีรออีกเลย ขอให้เรามีความเชื่อ พระเจ้ากำลังรอพวกเราทุกคนที่จะกลับไปหาพระองค์

Sis.กนกอร ศีรสิน


พันธกิจในประเทศกัมพูชาและคริสตจักรตามบ้าน

ชาโลม

พระเจ้ายิ่งใหญ่!

มันเป็นการดีเสมอเมื่อเราได้รับความปิติยินดีและสันติสุขของพระเจ้าเข้ามาในจิตใจของเรา ฮาเลลูยา พระเจ้ายิ่งใหญ่

ภรรยาของผมได้ออกแบบทัมเบอร์ลินกับไม้กางเขน และเราจะใช้สิ่งเหล่านี้ในการเต้นรำในขณะที่พวกเราร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า ภาพด้านล่างนี้เป็นลักษณะของลูกกระพรวนเล็กในทัมเบอร์ลิน และความหมายของสิ่งที่เกี่ยวข้องกันนี้ ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลก็ได้กล่าวถึงทัมเบอร์ลินนี้ว่า เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องดนตรีที่ใช้ในการเฉลิมฉลองความปิติยินดีกับพระเจ้าดังที่เราได้อ้างถึงใน ปฐมกาล 31:27, อพยพ 15:20-21, ผู้วินิจฉัย 11:34, 1 ซามูเอล 10:5-7, 1 ซามูเอล 18:6-7, โคโลสี 13:8,โยบ 21:12, เพลงสดุดี 68:25-26, เพลงสดุดี 81:1-3, เพลงสดุดี 149:3-4, เพลงสดุดี 150, อิสยาห์ 5:12-13, เยเรมีย์ 31:4




ในรายงานฉบับก่อนผมได้พูดถึงว่า อะไรจะเกิดขึ้นในวันสิ้นยุค เป็นสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นและจะต้องเกิดขึ้นในอนาคต เรื่องแรกผมอยากที่จะสรรเสริญพระเจ้า พระองค์ทรงบอกเราเอาไว้อย่างชัดเจนถึงเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นจริงในตอนนี้ เรื่องที่สองปัญหาเศรษฐกิจของโลกโดยรวม ข้าวของแพงขึ้น และปัญหาการเมืองที่วุ่นวายอยู่ในขณะนี้ เรื่องที่สามบางครั้งคุณก็กังวลเกี่ยวกับสถานะทางการเงินที่ลดลง คุณเองยังไม่พร้อมที่จะเผชิญกับวิวกฤตินี้ แต่พระเยซูตรัสไว้ว่า “อย่ากลัวเลยด้วยว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้ต้องเกิดขึ้น” (มัทธิว 24:6-7, มาระโก 13:6-7) เราจะยังคงอบอุ่นและเต็มไปด้วยความรัก มิเช่นนั้นแล้วพวกเราจะเดินไปในทิศทางที่ตรงกันข้าม (มัทธิว 24:12) พระเยซูต้องการให้เรารักษาพระบัญญัติใหญ่ไว้ในใจของเราเสมอ แล้วรางวัลของเรานั้นจะอยู่ที่พระองค์พระเยซูคริสต์ (วิวรรณ์ 22:12) และพระองค์จะทรงตอบแทนเราตามแต่ศรัทธาและความรักที่เราได้กระทำเอาไว้ ฮาเลลูยา

ข่าวล่าสุดจากกรุงเทพฯเกี่ยวกับกลุ่มต่อต้าน (เราเรียกกลุ่มเสื้อสีเหลือง) หลังจากที่กลุ่มต่อต้านได้เข้าไปบุกทำเนียบรัฐบาล และตอนนี้ก็ได้เข้าไปบุกยึดสนามบินสองแห่งคือ ท่าอากาศยานดอนเมือง(สายการบินภายในประเทศ) และท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ(สายการบินนานาชาติ) พวกเราอาศัยอยู่ไม่ไกลจากสนามบินดอนเมืง เราก็พอได้ยินข่าวสารเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ไม่ได้เห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงภายในพื้นที่ หลายๆท่านอาจจไม่ทราบว่าทำไมถึงเกิดเหตุการณ์เหล่านี้และมันเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่นั่นก็เป็นอีกเรื่อง อย่างไรก็ตามสิ่งที่เราสามารถกระทำได้ตอนนี้คือการอดอาหารและอธิษฐานเผื่อประเทศไทย

ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้แบ่งปันกับพี่น้องคริสเตียน(รวมถึงศิษยาภิบาลด้วย)เกี่ยวกับเรื่องของโยนาห์ ผู้ที่เดินทางไปยังเมืองนีนะเวห์ เพื่อที่จะบอกให้ผู้คนกลับใจ และอดอาหารเป็นเวลา 40 วัน ซึ่งหลังจากที่โยนาห์สั่งสอนพวกเขาแล้ว พวกเขาทั้งหลายรวมถึงกษัตริย์ก็ได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง เมืองนีนะเวห์จะต้องถูกทำลายแต่พระเจ้าทรงเห็นความจริงใจที่เต็มเปี่ยมในหัวใจของพวกเขาและพระองค์ทรงปกป้องพวกเขาเอาไว้ ปัจจุบันหลายคนอาจจะมองไม่เห็นพระเจ้าของพวกเขาเป็นสิ่งแรก แต่ถ้าจะว่าไปมันก็เป็นเรื่องปกติทั่วไป ตัวอย่างเช่นเกิดเหตุการณ์สึนามิ พายุเฮอร์ริเคน แผ่นดินไหว น้ำท่วมที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้ พวกเขาได้สำนึกและกลับใจจริงๆเช่นชาวเมืองนีนะเวห์หรือไม่ อดอาหารและอธิษฐานเพื่อขอพระเมตตาจากพระเจ้า เวลาที่ภัยพิบัติเกิดขึ้นในแต่ละครั้งสิ่งแรกและสิ่งสุดท้ายที่คริสตจักร องค์กร หรือบุคคลทั่วไปจะทำนั่นก็คือการเรี่ยไรเงินช่วยเหลือแทนที่จะอดอาหารและอธิษฐาน พวกเราจำเป็นต้องขอพระเมตตาจากพระเจ้าสำหรับเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้

วันที่ 11 ตุลาคม ผมพา Bro.Mathaikutty (คนที่ผมเคยพูดถึงว่าเขาเป็นครูสอนภาษาอังกฤษอยู่ที่จังหวัดศีรษะเกศ) มาที่สวนลุมพินีในกรุงเทพฯ สถานที่ที่พวกเราได้มาเผยแพร่พระกิตติคุณ เทศนาและอธิษฐานร่วมกันในทุกๆเช้าวันเสาร์ ครั้นเมื่อเขาได้เห็นสิ่งที่พวกเราได้กระทำเขาก็ตกใจและประหลาดใจ เขาบอกว่าที่ประเทศอินเดียนั้นพวกเขาไม่สามารถที่จะทำกันในสวนสาธารณะได้ พวกเขาจะต้องถูกจับ และนี่เป็นเพราะพระกรุณาของพระเจ้าแล้วจริงๆ เขายังได้วางแผนที่จะมาร่วมกับเราบ่อยๆแม้ว่าหนทางมันจะไม่ใกล้เลย (นั่งรถไฟ 8 ชั่วโมงจากศีรษะเกศมาที่กรุงเทพฯ)




ผมได้ทานอาหารเช้ากับ Bro.Francis Elijah Kok ผู้ที่ซึ่งได้เกิดใหม่ในคริสเตียนอีกครั้งหนึ่ง ผมพบเขาครั้งสุดทายเมื่อเดือนกันยายน 2550 โดยการแนะนำจากชาวนิวซีแลนด์สองท่าน เราติดต่อสื่อสารกันโดยผ่านทาง Skype (อินเตอร์เน็ตแมสเซ็นเจอร์) พวกเราได้รับประทานอาหารเช้าร่วมกัน เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ที่ประเจ้าได้ทรงเลือกและใช้ผมในการที่จะหนุนใจ ให้ความรัก และเพิ่มความศรัทธาให้กับเขา สรรเสริญพระนามของพระเจ้า เขาบอกว่าเมื่อเขาพร้อม เขาจะแบ่งปันคำพยานและให้ข้าพเจ้านำมาลงในบล็อคของข้าพเจ้า แล้วคุณจะได้สัมผัสและรับรู้กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา

ผมพบกับศิษยาภิบาลชาวกัมพูชาสองท่าน และพวกเราได้สามัคคีธรรมร่วมกัน พระเจ้าได้ทรงบอกให้ผมที่จะพยายามติดต่อกับพวกเขาอีกถึงแม้ว่าเราจะเพิ่งรู้จักและเจอกันเป็นครั้ง





ผมพบ Sister Esther Ding ที่ศูนย์บริการ Combodia Mission Survices และได้เยี่ยมชมร้าน Khmer Life ที่นี่ขายสินค้าหัตถกรรมโดยฝีมือของชาวบ้าน เป็นที่น่าอัศจรรย์ที่พระเจ้าทรงใช้ความเชี่ยวชาญของเธอเป็นเวลา 14 ปีแล้วในการกระทำภารกิจนี้ เธอทำงานในลักษณะที่แตกต่างจากมิชชันนารีคนอื่นที่เราได้เปรียบเทียบกัน เธอเชื่อมั่นในเรื่องการสร้างงานสร้างโอกาสให้แก่ชาวบ้านที่ยากจน เช่นการทำงานหัตถกรรม และโฮมเสตย์ (ในภาษาเขมร คำว่าฝรั่งเขาเรียกว่า Barang) และในวันถัดมา Sister Esther ก็พาผมไปที่เมืองบาร์เลย์ เพื่อเข้าเยี่ยมชมศูนย์มิชชั่น การเดินทางนั้นใช้ระยะเวลาถึง 4 ชั่วโมง และเมื่อเรามาถึงเราก็ได้พบกับคณะมิชชันนารีสามีภรรยาชาวอังกฤษซึ่งมาจากลอนดอน และได้มากระทำภารกิจที่นี่เป็นเวลา 6 เดือนแล้ว พวกเขาได้สอนภาษาอังกฤษให้กับเด็กๆระดับชั้นประถมและมัธยมเกี่ยวกับเรื่องของไบเบิ้ล นอกจากนี้เรายังได้พบกับคุณหมอที่เป็นคริสเตียนซึ่งท่านเป็นแพทย์อาสาสมัครที่ให้บริการโดยไม่คิดค่าธรรมเนียมใดๆทั้งสิ้นกับชาวบ้านเลย และผมก็ได้พันอาศัยอยู่ที่บ้านของท่านด้วย

ในระหว่างที่ได้เยี่ยมเยียมคณะมิชชันนารี พวกเราก็ได้สามัคคีธรรมร่วมกับศิษยาภิบาลสองสามท่าน และแบ่งปันพระคำของพระเจ้าร่วมกัน เพื่อที่จะช่วยหนุนใจให้พวกเขาในการทำงานรับใช้ของพระเจ้า พระเจ้าได้ทำสิ่งที่น่าพิศวงสำหรับผมที่นี่ ผมได้ยินว่าบางคนในคริสตจักรที่ประเทศมาเลเซียได้รับรายงานเกี่ยวกับสิ่งต่างๆที่ผมได้กระทำทั้งผมที่นี่ แม้ว่ามันดูเหมือนว่าเป็นการเปิดทางให้กับตัวเอง แต่มันไม่ใช่ผมคนเดียวที่กระทำสิ่งนี้ แต่พระเจ้าเป็นผู้กระทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดโดยใช้ผม ผมขอสรรเสริญพระเจ้าและขอพระสิริจงมีแด่พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์

สำหรับผู้อ่าน ผมต้องการที่จะเชิญคุณไปที่ Khmer Homestay ที่นั่นคุณจะได้สัมผัสวิถีชีวิตของคนตามหมู่บ้าน รายได้ต่างๆนั้นจะนำเข้าสู่การกระทำพันธกิจภายในประเทศกัมพูชา เพื่อใช้ในการจ้างแรงงานจากชาวบ้านที่ยากจนในหมู่บ้าน และเพื่อจัดซื้อสิ่งของเช่นยา อาหาร ฯลฯ ท่านสามารถลิงค์ไปยังเว็บไซด์ http://www.khmerhomestay.com/



ในวันที่ 23 เดือนตุลาคม พวกเราได้รับเชิญเพื่อไปเปิดคริสตจักรตามบ้านแห่งใหม่ที่แถวมีนบุรี และข้าพเจ้าก็ได้แบ่งปันเกี่ยวกับเรื่องของคริสตจักรตามบ้านและการที่จะเผยแพร่พระกิตติคุณให้กับผู้ที่อาศัยอยู่รอบๆบ้านของเราได้อย่างไร เมื่อมาถึงเวลาอธิษฐาน ผมรู้สึกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังเคลื่อนไหวอยู่ในตัวผม และผมเริ่มต้นที่จะอธิษฐานให้สำหรับทุกๆคนโดยการสัมผัสพวกเขาทีละคนและพวกเขาก็เริ่มฟุบลงไป พระวิญญาณทรงเคลื่อนไหวอยู่ภายในพวกเขา ฮาเลลูยา พระเจ้าของเราแสนดี อาเมน
ผมได้อธิษฐานเผื่อภรรยาของผมที่จะเข้าร่วมรับใช้ในพันธกิจอย่างเต็มเวลาในเดือนมกราคม 2552 พระเจ้าทรงเรียกพวกเรากลับไปที่ประเทศกัมพูชาอีกครั้งและอยู่ที่นั่นเป็นเวลาหนึ่งเดือน จากนั้นก็ไปที่เวียดนามอีกสองถึงสามเดือน แล้วจึงจะเดินทางต่อไปยังประเทศจีนและอยู่ที่นั่นหกเดือนหรืออาจจะมากกว่านั้น ปัจจุบันเงินที่จะสนับสนุนในพันธกิจของผมนั้น มีเพียงพอเฉพาะแค่หนึ่งคน และเรากำลังแสวงหาพระเจ้าเพื่อให้การช่วยเหลือด้านการเงินแก่พวกเรา โปรดอธิษฐานเผื่อพวกเราด้วย
ผมรอคอยที่จะเขียนรายงานฉบับถัดไป เพื่อที่จะแบ่งปันข่าวสารอันน่าตื่นเต้น พระเจ้าของเราทรงพระชนม์อยู่และพระเยซูทรงเป็นความจริงแห่งชีวิตของเรา

พระเจ้าอวยพร


Pastor Steve Peter H S Kok

บุตรชายที่หายไป

บ้าน-ฝันหรือฝันไกลเกินไป

สวัสดีทุกๆท่าน Pastor Steve Kok ได้เคยพูดถึงเรื่องบล็อคของเขา ผมชื่อ Francis Elijah Kok และผมอยากที่จะแบ่งปันคำพยานของผมเมื่อผมนั้นพร้อม กรุณาอ่านคำพยานของผมอย่างเปิดใจ เนื่องจากสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องจริงของลูกผู้ชายคนหนึ่ง ผมได้เลือกวันที่ 30 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นวันเกิดของผมนี้ ที่ผมจะมาแบ่งปันคำพยานของผม ตอนนี้ผมก็อายุ 41 ปีแล้ว

ผมคิดว่ามันถึงเวลาแล้ว และผมอยากจะแบ่งปันเกี่ยวกับหัวข้อข้างบนคือ บ้าน-ฝันหรือฝันไกลเกินไป

ผมเริ่มต้นจากที่ไหนหรือเริ่มต้นอย่างไร ผมขอใช้เรื่องราวของบุตรที่หายไปเป็นการเริ่มต้นในการแบ่งปัน คุณอาจจะคุ้นเคยกับเรื่องราวของ บุตรชายที่หายไปในพระคัมภีร์ไบเบิล แล้วบุตรชาติคนนั้นก็ได้หันกลับเข้าสู่อ้อมแขนของพ่อแม่...แต่สำหรับผม มันยังคงเหมือนเดิม เหมือนว่ามันเป็นเพียงแค่ความฝัน

เริ่มต้นนั้น ผมมาจากครอบครัวธรรมดาที่มีสมาชิกทั้งหมดสี่คน ผมมีพี่สาวคนหนึ่ง ส่วนตัวผมเองเป็นน้องคนเล็ก พวกเราได้บัพติศมาเมื่อตอนอายุ 15 ปี ที่ Methodist Church ผมยอมรับว่าศรัทธาของผมไม่เข้มแข็ง หรือยังคงมีความกังวล พวกเราจนและไม่มีค่าควรที่จะเป็นสมาชิกของคริสตจักรหรือเปล่า ผมไม่สามารถหาคำตอบได้ แต่มันก็นานมากแล้วซึ่งผมก็ยังจำได้

คาดว่าเวลามันผ่านไปเร็วมาก และผมได้สอบผ่าน STPM เพื่อเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยแต่ผมก็ไม่ได้เข้าเรียน เพราะเหตุผลทางด้านการเงินของครอบครัว และผมก็ไม่ได้เข้าเรียนที่วิยาลัยเอกชนใดๆด้วย ในเวลานั้น ตัวผมเองเหมือนกับเด็กไร้เดียงสาเดินไปตามท้องถนน ในเวลานั้น ผมก็ได้งานทำในบริษัท ผมทำงานวันละ 10 ชั่วโมง เริ่มตั้งแต่ 22.00 – 8.00 น. ทุกๆวัน แล้วผมก็ได้เข้าเรียนในวิทยาลัยเอกชนตอนกลางวัน ผมเรียนเกี่ยวกับ NCC Computer แล้วความฝันของผมหล่ะ ผมฝันที่จะเป็นทนาย ถ้าไม่ได้เป็นทนายความก็ขอที่จะเป็นโปรแกรมเมอร์เก่งๆ

แล้วตัวผมเริ่มล้มลงตอนไหน ผมคิดว่ามันเริ่มต้นขึ้นเมื่อผมเริ่มมีความทะเยอทะยานในตัวเอง มันเริ่มขึ้นแล้วแม่ก็ไม่พอใจผม ห้ามโน่นห้ามนี่ผม ผมไม่ได้ไปสอบ เพราะว่าเราไม่มีสามารถที่จะรับภาระเรื่องค่าใช้จ่ายได้ และตัวผมเองก็ต้องรับผิดชอบภายในครอบครัวด้วย เพราะว่าพี่สาวของผม เธอลาออกจากงานเพื่อที่จะศึกษาต่อ

ผมเปลี่ยนงานบ่อยมาก แต่ละครั้งก็หวังว่าจะได้เงินเดือนที่ดีกว่าและสูงกว่า และแน่นอนว่าเมื่อมีรายได้สูงขึ้นผมก็เริ่มทำบัตรเครดิตและเรียนรู้ชีวิตแบบผิดๆ ชีวิตของผมเริ่มแย่ลงซึ่งผมไม่สามารถตำหนิใครได้นอกจากตัวเอง จากนั้นผมก็เริ่มคิดการณ์ใหญ่ ผมต้องการทำธุรกิจ ผมจึงเริ่มกู้เงิน แล้วผมก็เริ่มพัวพันกับสามสิ่งคือ เหล้า ผู้หญิง คาราโอเกะ ในเวลานั้นผมได้เป็นหนี้ก้อนโตและก็กู้เงินนอกระบบด้วย ด้วยเหตุนี้นี่จึงเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้ผมล้มลง ตอนนั้นผมได้แต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่ง และก็มีลูกสาวที่น่ารักคนหนึ่ง

นี่เป็นการเริ่มต้นและจุดจบของผม ผมอธิษฐานว่า ถ้าหากว่าใครได้อ่านคำพยานของผม และเมื่อใดที่พวกท่านพบใครบางคนที่กำลังล้มลม โปรดอธิษฐานและช่วยเหลือเขาด้วย

อีกครั้งหนึ่งที่ผมเริ่มจมดิ่งอยู่ในความบาป ผมไม่สามารถหางานได้ ผมท้อแท้จนกระทั่งคิดว่าจะไปขับรถแท็กซี่ แต่ครอบครัวผมไม่เห็นด้วย เราจะไปหาเงินมาจากที่ไหนได้ และผมก็หันกลับไปกู้เงินนอกระบบอีกครั้ง แต่ตอนนี้ผมไม่สามารถที่จะจ่ายคืนได้ แล้วผมทำอย่างไร พี่น้องครับ ผมหนี หนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมออกจากประเทศมาเลเซียเพื่อไปทำงานที่ประเทศสิงค์โปร์ และมันยากมากที่จะทำให้เรื่องมันจบ

ผมหนีปัญหาไปนานกว่าสิบปี ในปีแรกๆที่ผมหนีมานั้น ผมรู้สึกโดดเดี่ยว แม่ของผมห้ามไม่ให้ภรรยาพาลูกมาพบผมเพราะว่าต้องการทำโทษผมที่ผมเดินทางผิด ลูกสาวผมตอนนั้นอายุประมาณ 4 ขวบ เหตุฉะนั้นเมื่อผมอยู่ที่สิงค์โปร์ผมจึงรู้สึกโดดเดี่ยว ผมจึงได้หันไปหาสุราซึ่งเป็นเพื่อนของผมในเวลานั้น ผมพยายามไปโบสถ์ใหญ่แห่งหนึ่งในสิงค์โปร์ ผมสารภาพบาปต่างๆ ผมได้เล่าคำพยานของผมให้พวกเขาฟัง แต่ที่นั่นไม่มีใครยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ผมไม่ใช่คนบริสุทธิ์ ผมถูกตำหนิ แต่ก็ไม่มีใครที่จะให้คำปลอบโยนหรือกำลังใจใดๆแก่ผม เพราะว่าผมเองก็ดื่มหนักด้วย ผมไม่เคยที่จะส่งเงินกลับบ้านเลย

ผมตกงานแล้วก็ได้งานใหม่ และงานนี้มันก็เกี่ยวข้องกับเรื่องของการพนัน ผมได้ถลำลึกลงไปในบาปอีก ผมเล่นการพนันด้วย ผมไปที่ประเทศจีน ไทย มาเก๊า ฮ่องกง และได้เล่นการพนัน ซึ่งทำให้ผมยิ่งถลำลึกลงไป ผมมัวเมากับผู้หญิงและการดื่ม บาปเหล่านั้นผมซื้อมันด้วยเงิน

ใช่มันเป็นการเสี่ยง ผมสูญเสียเงินไปมาก ภรรยาของผมขอหย่า และอะไรที่ทำร้ายจิตใจผมมากที่สุดเมื่อผมได้กลับมาที่ประเทศมาเลเซีย ลูกสาวของผม เธอปฏิเสธผม ผมไม่สามารถตำหนิเธอได้เพราะว่าผมไม่เคยทำหน้าที่ของพ่อเลย ผมได้กลับมาเป็นพนักงานในร้านขายเกมส์ และก็อีกครั้งที่ผมถูกชักชวนให้มาทำงานในสภาพแวดล้อมเกี่ยวกับการพนัน และครั้งนี้จึงทำให้ผมได้เจอกับ Pastor Steve Kok ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา

ผมรู้จักกับเขาทาง Skype เมื่อหลายเดือนก่อน ผมยังเหมือนคนที่รอคอยอย่างมีความหวังอยู่บ้างที่ท่าเรือ และก็อาจจะได้กลับไปยัง
ทางสายเก่าที่เคยเดินมา อยากมีความรักและความอบอุ่นจากครอบครัวอีกครั้ง พวกเราแชทคุยกันในช่วงเช้า ผมกำลังคิดที่จะออกจากงานอีกครั้งหนึ่งและจะกลับบ้านที่กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซียเร็วๆนี้ เวลานี้พระเจ้าทรงดึงผมขึ้นมาจากบาป พระองค์ไม่ต้องการให้ผมทำงานนี้ ผมก็ได้อธิษฐานต่อพระเจ้าในเวลาต่อมา

ผมเริ่มอ่านพระคัมภีร์ไบเบิ้ลอีกครั้ง และได้อธิษฐานถึงพระเจ้า มันต้องต่อสู้อย่างหนักในการที่พยายามจะเดินให้ถูกทาง ทุกๆเลี้ยวที่เดินเหมือนว่าเราชอบที่จะเลี้ยวผิดทาง เวลานั้นผมยังคงนั่นเขียนคำพยานนี้ ผมยังไม่ได้กลับบ้าน ซึ่งนี้ก็เหมือนเรื่องบุตรชายที่หายไป

ผมอธิษฐานและตั้งความหวังไว้ว่า เมื่อผมกลับบ้าน ผมจะสามารถหางานใหม่ และใช้ประสบการณ์ด้านโปรแกรมเมอร์ ผมรู้สึกว่ายังไม่ลืมวิชาความรู้นี้ ผมอธิษฐานไว้ว่า ใครก็ตามที่ได้อ่านคำพยานนี้ซึ่งผมไม่ได้ตั้งความหวังอะไรเอาไว้ แค่ว่าคงจะมีสักวันที่จะมีแสงสว่างเกิดขึ้นในชีวิต และผมขอให้คุณช่วยอธิษฐานสักเล็กๆน้อยๆเผื่อผมด้วย ผมกลับบ้านอย่างโดดเดี่ยวและไม่เหลืออะไรเลย และผมหวังว่าสักวันหนึ่งจะได้เจอกับลูกสาวของผม ตอนนี้เธออายุ 12 ปีแล้ว

Pastor Steve Kok ได้ให้กำลังใจผมจนกระทั่งวันนี้ เขาไม่เคยห่างไกลไปจากผมเลย เขายังคงต้องการให้ผมไปร่วมทีมพันธกิจด้วยกัน สำหรับหัวใจของเขาแล้ว เขาเป็นคนจริงใจและเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักของพระเจ้าในตัวเขา

พระเจ้าอวยพร

Bro. Francis Elijah KokHome

นิมิตรจากพระเจ้า

ผมได้เห็นนิมิตรตอนประมาณบ่ายสามโมงของวันที่ 10 พฤศจิกายน 2551 ซึ่งขณะนั้นผมกำลังเดินเพื่อที่จะกลับบ้าน

มีสิงห์โตตัวหนึ่งลงมาจากสวรค์มุ่งตรงมายังโลก และมันได้พ่นไฟใส่หมู่เทพทั้งหลาย ไฟเหล่านั้นได้เผาผลาญและทำลายคริสตจักรทั้งหลาย

วันนี้เหล่าคริสตจักรไม่ได้เชื่อฟังและปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระเจ้า แต่พวกเขาปฏิบัติตามกฎที่มนุษย์ตั้งขึ้น
พระบัญญัติใหญ่ที่พระเยซูทรงให้ไว้คือ “จงรักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของเจ้าด้วยสุดใจสุดจิตของเจ้า และด้วยสิ้นสุดความคิดของเจ้า” นี่คือพระบัญญัติใหญ่ข้อแรก และพระบัญญัติใหญ่ข้อสำคัญข้อสองคือ “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” นี่คือกฏที่บรรดาผู้เผยพระวจนะได้เรียกร้องให้พวกเราปฏิบัติตามพระบัญญัติใหญ่ทั้งสองข้อนี้ - มัทธิว 22 ข้อ 37-40
คริสตจักรแสวงหาความชอบธรรมโดย พวกเขาต้องการเป็นผู้มีชื่อเสียง มีผู้คนรักและนับถือ แต่กระนั้นพวกเขาไม่เคยหันกลับมามองว่า อะไรที่มาจากพระเจ้าและมนุษย์ ยกตัวอย่างเช่น ผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องการให้ประชาชนลงคะแนนเสียงให้เขา รักเขา แต่ในที่สุดเมื่อเขาชนะการเลือกตั้ง เขาทำให้อะไรกับประชาชนบ้าง ไม่มีอะไรเลย และยังมีการคอรัปชั่นด้วย เหมือนกันกับการไปคริสตจักร พระเยซูตรัสว่า “ของซีซาร์จงถวายแก่ซีซาร์ และของของพระเจ้าจงถวายแด่พระเจ้า” - มาระโก 12 ข้อ 17 แทนที่คริสตจักรจะถวายพระเกียรติและพระสิริกลับคืนแด่พระเจ้า พวกเขากลับนำสิ่งเหล่านั้นมาสู่ตนเอง
ลูกา 10 ข้อ 12 พระเยซูตรัสว่า “ข้าวที่ต้องเกี่ยวนั้นมีมาก แต่คนงานยังน้อยอยู่ เหตุฉะนั้น พวกท่านจงอ้อนวอนพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าของนา ให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวพืชผลของพระองค์” เป็นความจริงที่ว่าคนงานนั้นยังน้อยอยู่ ซึ่งมีหลายคริสตจักรที่ไม่ได้เชื่อฟังพระบัญญํติใหญ่สองข้อนี้ จึงทำให้มีการแตกแยกกันออกไปเป็นหลายๆนิกาย
ในเวลานี้ คริสตจักรกำลังมองหาผู้เปิดเผยและพยากรณ์ แต่กระนั้นพวกเขาคิดว่าพวกเขารู้จักพระเยซูแต่ว่าพวกเราไม่รู้จักพระเยซูเลย ถ้าหากว่าพระเยซูยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น คริสตจักรจะปฏิเสธพระเยซูเหมือนอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วกับพระองค์ พระเยซูตรัสว่า “เราเข้ามาในโลกเพื่อแก่การพิพากษา เพื่อให้คนทั้งหลายที่มองไม่เห็นกลับมองเห็น และคนที่มองเห็นกลับมองไม่เห็น” – ยอห์น 9 ข้อ 39 ซึ่งมีหลายๆคนที่มองไม่เห็นพระมาไซยา ผู้ที่ยึดถือและปฏิบัติพระบัญญัติคือผู้ที่สามารถมองเห็นความจริงของชีวิต พวกเขาจะรู้ว่าใครคือพระเยซู โดยที่พระองค์ไม่ต้องตรัสอะไรและพวกเขาจะตามพระองค์
พระเยซูตรัสว่า “ถ้าโลกนี้เกลียดชังท่านทั้งหลาย ก็จงรู้ว่าโลกได้เกลียดชังเราก่อน ถ้าท่านทั้งหลายเป็นของโลก โลกก็จะรักท่านซึ่งเป็นของโลก แต่เพราะท่านไม่ใช่ของโลก เพราะเราได้เลือกท่านออกจากโลก เหตุฉะนั้นโลกจึงเกลียดชังท่าน” - ยอห์น15 ข้อ 18 – 19 ซึ่งผมได้กล่าวไว้ในย่อหน้าที่สาม พวกเขาไม่ได้ปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระเจ้า แต่ปฏิบัติตามกฏหมายรัฐบาลนั้นๆ ซึ่งเพื่อให้พวกเขาได้รับผลประโยชน์และการค้ำจุนคริสตจักรให้คงตั้งอยู่ได้ยาวนาน พระเยซูถูกผู้คนใช้กฎหมายของบ้านเมืองและกฏของศาสนาทำร้ายพระองค์
ทุกวันนี้ พวกเราจะเห็นว่าคริสตจักรใหญ่ได้สร้างอาคารสวยงาม ใช้เงินทุนก่อนสร้างหลายล้านบาท ซึ่งมันจะถูกทำลายลงโดยพระเจ้า พระเยซูตรัสว่า “สิ่งสารพัดเหล่านี้พวกท่านเห็นแล้วมิใช่หรือ เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ศิลาที่ซ้อนทับกันอยู่ที่นี่ ซึ่งจะไม่ถูกทำลายลงก็ไม่มี” – มัทธิว 24 ข้อ 2 ไม่มีอะไรสามารถทำลายคริสตจักรหรือพระวิหารได้ แม้กระทั่งซึนามิ แผ่นดินไหว ฯลฯ มีสิ่งเดียวที่สามารถทำลายได้คือไฟแห่งพระเจ้า
จำไว้ว่าพระเยซูได้เคยตรัสไว้ว่า “ถ้าทำลายวิหารนี้เสีย เราจะยกขึ้นในสามวัน” และพระเยซูต้องการให้เราสร้างขึ้นในกายของเรา ไม่ใช่อาคารสวยงาม หมายความว่าให้ใช้เวลาและเงินในการช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อน และสร้างศรัทธาให้พวกเกิดแก่พวกเขา พวกเขาคือลูกแกะของคุณ
เหมือนอย่างที่พระเยซูคริสต์ตรัสไว้ว่า “ในพวกท่านมีคนใดที่มีแกะร้อยตัวและตัวหนึ่งหายไป จะไม่ละเก้าสิบเก้าตัวนั้นไว้ที่กลางทุ่งหญ้า และไปเที่ยวหาตัวที่หายไปนั้นจนกว่าจะได้พบหรือ เมื่อบแล้วเขาก็ยกขึ้นใส่บ่าแบกมาด้วยความเปรมปรีดิ์ เมื่อมาถึงบ้านแล้ว จึงเชิญพวกมิตรสหายและเพื่อนบ้านให้มาพร้อมกัน พูดกับเขาว่า จงเปรมปรีดิ์กับข้าพเจ้าเถิด เพราะข้าพเจ้าได้พบแกะของข้าพเจ้าที่หายไปแล้วนั้น” - ลูกา 15 ข้อ 4 – 6 พวกเราต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ถึงพวกเราจะยุ่งอยู่เสมอ พระเจ้ายังคงต้องการใช้พวกเราให้อยู่ตรงนั้นเพื่อช่วยผู้การความช่วยเหลือ
พวกเราเป็นคริสเตียน สิ่งที่พวกเราต้องทำคือ อธิษฐานเพื่อศาสนาจักร และศิษยาภิบาล แสวงหาพระเจ้าให้พระองค์ทรงประทานอภัยให้พวกเขาในสิ่งที่พวกเขาทำผิดพลาดไป ในพระธรรมลูกา 6 ข้อ 27 พระเยซูตรัสว่า “จงรักศัตรูของท่าน จงทำดีแก่ผู้ที่เกลียดชังท่าน” พระเยซูเองก็ทรงให้อภัยแก่ชาวยิวในสิ่งที่พวกเขาได้ทำลงไปเช่นกัน
ขอพระเจ้าอวยพร
Pastor Steve Peter H S Kok

สิ่งสำคัญที่จะต้องออกไปประกาศและเตรียมการสำหรับพันธกิจ

เมื่อคืนนี้ผมปรารถนาที่จะค้นหาพระคำของพระเจ้า และพระองค์ก็ได้ทรงมอบข้อความนี้ให้แก่ผม "จงเพียรพยายามให้คงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ซึ่งพระวิญญาณทรงประทานนั้นด้วยสันติภาพเป็นพันธนะ มีกายเดียวและมีพระวิญญาณองค์เดียว เหมือนมีความหวังใจอันเดียวที่เนื่องในการที่ทรงเรียกท่าน มีองค์พระผู้เป็นเจ้าเดียว ความเชื่อเดียว บัพติศมาเดียว พระเจ้าองค์เดียวผู้เป็นบพระบิดาของคนทั้งปวง ผู้ทรงอยู่เหนือคนทั้งปวง และทั่วคนทั้งปวง และในคนทั้งปวง" (เอเฟซัส 4 : 3 - 6)

ข้อความสำคัญของพระคัมภีร์บทนี้คือ ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และในสิ่งที่เป็นความตรงกันข้ามกันนี้ก็คือ ความแตกแยก

พระเยซูคริสต์ต้องการให้ทุกคนเชื่อฟัง และกระทำตาม เพื่อที่พวกเราจะได้อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ตอนนี้ร่างกายของพระคริสต์ได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระบิดาและพระวิญญาณแล้ว และทั้งสามรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นพระเจ้าเดียวกัน ดังนั้นคริสเตียนจึงจำเป็นที่จะต้องเป็นหนึ่งเดียวกันทั่วโลก

ดังนั้น ในความเป็นหนึ่งเดียวกันของเราก็คือ ต้องมีหลักคำสอนของพระเจ้าเป็นจุดศูนย์กลาง เรามีพระเจ้าเดียว ศรัทธาเดียว และบัพติศมาเดียว ตอนนี้ให้คุณพิจารณาดูร่างกายและวิญญาณที่อยู่ภายในของคุณ เมื่อคุณยังคงมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ คุณสามารถแยกส่วนต่างๆออกจากร่างกายได้หรือไม่ และคุณสามารถแยกวิญญาณของจากร่างกายเมื่อคุณยังมีชีวิตอยู่ได้หรือไม่ ไม่แน่นอน! ดังนั้นคำสอนที่สำคัญสำหรับเราในเวลานี้คือ พระกายของพระคริสต์นั้นจะต้องเป็นหนึ่งเดียวเสมอ มีเพียงร่างกายเดียว และต้องไม่แตกแยก

จำไว้ว่าเราต้องเข้มแข็ง เราต้องแสวงหาพระเจ้าของเรา มีศรัทธา และมุ่งจุดหมายไปที่แสงสว่างของพระคริสต์ พวกเราจำเป็นจะต้องคุยกับพระเจ้า ไม่เพียงแค่การนมัสการเท่านั้น แต่เราต้องอธิษฐานเป็นการส่วนตัวด้วย ซึ่งเราสามารถทำได้ทุกๆที่ และทุกๆเวลา เราต้องค้นหาพระเจ้าของเราตลอดเวลา

ส่วนที่สองของรายงานของสิ้นเดือนกันยายน 2551



เจนและผมได้ไปที่จังหวัดศรีสะเกษในวันหยุดที่ผ่านมา เพื่อที่จะเยี่ยนเยียนและสามัคคีธรรมร่วมกับครอบครัวของ Bro.Mathaikutty(ศาสตราจารย์) พวกเขาพักอยู่ที่บ้านพักครูของโรงเรียนประจำจังหวัด และพวกเราเล่นบาสเก็ตบอลกับเด็กนักเรียนที่นั่นด้วย พวกเราได้ดูวีดีโอซีดีเกี่ยวกับเรื่องของ โมเสส และซาโลมอนด้วยกัน มันไม่ง่ายเลยสำหรับพวกเขาซึ่งเป็นคนอินเดียที่จะพยายามปรับตัวให้เข้ากับคนที่นี่ได้ ก็ขอฝากครอบครัวนี้ไว้ในการอธิษฐานด้วย

วันอาทิตย์นี้ผมจะไปเทศนาที่คริสตจักรนวนคร ที่นั่นเป็นโบสถ์เล็กๆ และก็เหมือนทุกครั้ง เจนจะเป็นล่ามแปลคำเทศนาเป็นภาษาไทยให้แก่ผม

วันที่ 13 ตุลาคมนี้ ผมจะไปประเทศกัมพูชาประมาณหนึ่งสัปดาห์เพื่อกระทำภาระกิจสั้นๆที่นั่นตามโครงการข้างล่างนี้ ด้วยว่าผมมีงบประมาณที่จำกัด

1. เพื่อแบ่งปันคำสอนของพระเยซูคริสต์กับผู้อื่นในระหว่างการเดินทาง
2. เผยแพร่พระกิตติคุณตามหมู่บ้านเท่าที่สามารถจะทำได้
3. ร่วมงานกับคณะของมิชชันนารีที่นั่น
4. เทศนาในโบสถ์หรือในกลุ่มเมื่อได้รับเชิญ
5. พบกับพี่น้องคริสเตียนที่เป็นชาวมาเลย์เซียแต่อาศัยอยู่ที่กรุงพนมเปญ

ในช่วงเดือนธันวาคม ผมและศิษยาภิบาลอีกสองท่านได้วางแผนกันว่าจะไปทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยประมาณหนึ่งสัปดาห์เพื่อที่จะเผยแพร่พระกิตติคุณและแบ่งปันข่าวประเสริฐให้กับคนในท้องถิ่นของที่นั่น

ผมยังคงระลึกถึงพระคำของพระเยซูในการทรงเรียกสาวกเสมอ ซึ่งอยู่ในพระธรรมลูกา 9:1-5 "พระองค์ทรงเรียกสาวกสิบสองคนมาพร้อมกัน แล้วก็ประทานให้เขามีอำนาจเหนือผีทั้งปวง และรักษาโรคต่างๆให้หาย แล้วพระองค์ทรงใช้เขาไปประกาศแผ่นดินของพระเจ้า และรักษาคนเจ็บให้หาย พระองค์จึงสั่งเขาว่า 'อย่าเอาอะไรไปใช้ตามทาง เช่นไม้เท้า หรือย่าม หรืออาหาร หรือเงิน หรือเสื้อ และถ้าเข้าไปในเรือนไหน ก็จงอาศัอยู่ในเรือนนั้นจนกว่าจะไป ผู้ใดไม่ต้อนรับพวกท่าน เมื่อท่านจะไปจากเมืองนั้น จงสะบัดผงคลีดินจากเท้าของท่านออก ส่อให้เห็นความผิดของเขา' "

ผมขอขอบคุณผู้มีอุปการะคุณทุกๆท่านที่ได้ให้การสนับสนุนผมจนถึงวันนี้ และผมก็ยังคงอธิษฐานต่อไปว่า พวกคุณจะยังคงสนับสนุนในพันธกิจของผมต่อไป ขอพระเจ้าอวยพระพรคุณตลอดไป

ก่อนที่จะจบนี้ ผมขออ้างอิงพระคัมภีร์ในพระธรรมฟิลิปปี 4:10-19 "ข้าพเจ้ามีใจชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างยิ่ง เพราะว่าในที่สุดท่านก็ได้ฟื้นการระลึกถึงข้าพเจ้าอีก ท่านคิดถึงข้าพเจ้าจริงๆ แต่ยังหาโอกาสไม่ได้.... ถึงกระนั้นก็เป็นความกรุณาของท่าน ทีได้ร่วมทุกข์กับข้าพเจ้า และพวกท่านชาวฟิลิปปีก็ทราบอยู่แล้วว่า การปะกาศข่าวเสริฐในเวลาเริ่มแรกนั้น มาตอนเมื่อข้าพเจ้าออกไปจากแคว้นมาซิโดเนีย ไม่มีคริสตจักรใดมีส่วนร่วมกับข้าพเจ้าในรายรับรายจ่ายเลย นอกจากพวกท่านพวกเดียวเท่านั้น... มิใช่ว่าข้าพเจ้าปรารถนาจะได้รับของให้ แต่ว่าข้าพเจ้าอยากให้ท่านได้ผลกำไรในบัญชีของท่านมากขึ้น... ข้าพเจ้าก็อิ่มอยู่เพราะได้รับของจากเอปาโฟรดิทัส... และพระเจ้าของข้าพเจ้าจะประทานสิ่งสารพัดที่พวกท่านขาดอยู่นั้น จากทรัพย์อันรุ่งเรืองของพระองค์ในพระเยซูคริสต์"

ขอพระเจ้าอวยพร

Pastor Steve Peter Kok

เริ่มพันธกิจในกรุงเทพฯ

ชาโลม

สรรเสริญพระเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่


พวกเรายังคงอยู่ที่กรุงเทพฯ และก็ปลอดภัยดี ไม่มีเหตุการณ์อะไรน่าเป็นห่วง ก็ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงปกป้องคุ้มครองพวกเราตลอดเวลา (เฉลยธรรมบัญญัติ 33:12 "คนที่พระเจ้าทรงรักจะอาศัยอยู่กับพระองค์อย่างปลอดภัย พระองค์ทรงปกเขาไว้วันยังค่ำ และทรงประทับอยู่ระหว่างบ่าของเขา")สำหรับเมื่อสองสามวันที่ผ่านมา ผมคิดว่าคุณคงจะได้ยินข่าวคราวบ้างเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ มีข่าวว่าที่นี่เกิดการจราจลกันขึ้น สถานการณ์ภายในประเทศไทยไม่ปลอดภัย และจากข่าวนี้ทำให้ผมรู้สึกกังวลมากเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯขณะนี้ ผมคิดว่าบางทีผมอาจจะกลับไปที่ประเทศมาเลเซีย หรือไม่ก็ไปที่ไหนสักแห่ง หลังจากกลับจากโบสถ์เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา พวกเราก็ไม่ได้ออกจากบ้านไปไหนเลย ข้าพเจ้าก็ได้แต่นั่นอ่านหนังสือพิมพ์เดอะสตาร์ ออนไลน์ อยู่ที่บ้านเป็นเวลาสองวัน ผมรู้สึกตกใจเมื่อได้เห็นคนถือดาบยาวมากๆเหมือนกับในหนังจีนกำลังภายในที่ไว้ใช้ต่อสู้กัน มันจึงทำให้ผมยิ่งเป็นกังวลมากขึ้น แต่เจน ภรรยาของผมกลับรู้สึกเฉยๆกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น และเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ผมก็ได้ออกไปพบกับมิชชันนารีชาวออสเตรเลียที่ในเมือง ผมก็เลยถือโอกาสสำรวจดูสถานการณ์ในเมืองว่าเป็นเช่นไรบ้าง ปรากฏว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย สถานการณ์ต่างๆก็เรียบร้อยดี ระบบน้ำไฟที่บอกว่าจะตัดก็ยังคงอยู่ในสภาวะปกติ และนักท่องเที่ยวก็ยังคงเดินไปมาเช่นเดิม การค้าขายก็เป็นไปอย่างปกติ ฯลฯ ผมจึงได้ส่งอีเมล์กลับไปที่หนังสือพิมพ์เดอะสตาร์ และพวกเขาก็ได้จัดพิมพ์ข้อมูลของผมลงใน http://www.thestar.com.my/news/story.asp?file=/2008/9/3nation/20080903172610&sec=nation






ผมจำได้ว่าเพื่อนของผมที่มาจากมาเลเซีย ซึ่งเขาเคยลืมพาสปอร์ตของเขาเอาไว้ที่เกสต์เฮ้าส์ และหลังจากนั้นหกชั่วโมง พวกเรากลับมาที่เกสต์เฮ้าส์อีกครั้งหนึ่ง เจ้าของเกสต์เฮ้าส์ก็ได้นำพาสปอร์ตมาคืนให้แก่เพื่อนของผม และก็มีอีกเหตุการณ์หนึ่ง ตอนนี้ผมทำกระเป๋าสตางค์หายในที่ชุมชน และสักครู่ก็มีคนนำมาคืนให้แก่ผม ซึ่งเงินในกระเป๋าก็ยังอยู่ครบ ตัวผมเองยังไม่เคยเห็นเหตุการณ์เหมือนอย่างที่ลงไว้ในหนังสือพิมพ์เลยเกี่ยวกับการฆาตกรรม หรือปล้นชิงทรัพย์ และผมรู้ว่าที่ประเทศไทยนี้ค่อนข้างจะปลอดภัยมาก

พระเจ้าต้องการให้ผมให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องการเริ่มต้นของวันสิ้นยุค และเจนก็ได้เคยเขียนเกี่ยวกับเรื่องราวของวันสิ้นยุคไว้เป็นภาษาไทยในบล็อคของข้าพเจ้านี้ ในหนังสือ มัทธิว บทที่ 24 พระเยซูได้ทรงกล่าวเกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ข้อ 1-2 ฝ่ายพระเยซูทรงออกจากบริเวณพระวิหาร แล้วขณะเสด็จไป พวกสาวกของพระองค์มาชี้ตึกทั้งหลายในบริเวณพระวิหารให้พระองค์ทอดพระเนตร พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า สิ่งสารพัดเหล่านี้พวกท่านเห็นแล้วมิใช่หรือ เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ศิลาที่ซ้อนทับกันอยู่ที่นี่ ซึ่งจะไม่ถูกทำลายลงก็ไม่มี" อาคารของโบสถ์หรือวิหารที่ใหญ่โตสวยงาม ที่ใช้เงินลงทุนในการก่อสร้างมากมายซึ่งเราได้เห็นกันในทุกวันนี้ และในวันสุดท้ายที่จะมาถึง มันก็จะต้องถูกรื้อถอนไปในที่สุดโดยพระเจ้า ในหนังสือ 2โครินทร์ 5:1 ได้บอกว่า พวกเราต้องสร้างอาคารเหล่านั้นขึ้นไว้ภายในจิตใจของเรา(ซึ่งมันคือของพระเจ้า) มันไม่ใช่อาคารคอนกรีต เหตุฉะนั้น พวกเราในที่นี้จะต้องหนุนใจผู้อื่นด้วยความรัก และความสุข ซึ่งจะเป็นการช่วยนำทางให้พวกเขารอด และนั่นศรัทธาก็จะถูกสร้างขึ้นภายในจิตใจหรือจิตวิญญาณของเรา

ข้อ 4-5 "พระเยซูตรัสตอบเขาว่า ระวังให้ดี อย่าให้ผู้ใดล่อลวงท่านให้หลง ด้วยว่าจะมีหลายคนมา ต่างอ้างนามของเราว่าตัวเขาเป็นพระคริสต์ เขาจะให้คนเป็นอันมากหลงไป" ในระหว่างช่วงเวลาของวันสิ้นยุค จะมีหลายๆคนมาและอ้างตัวว่าเป็นผู้เผยพระวจนะจากพระเจ้าหรือพระเยซูคริสต์ แล้วหลังจากนั้นก็จะมีคำพยากรณ์เท็จเทียมมากมายเกิดขึ้น และสั่งสอนผู้คนไปในทางที่ผิด เพราะว่า"พระองค์ได้ทรงปิดตาของเขาทั้งหลาย และทำใจของเขาให้มืดมัวไป เกรงว่าเขาจะเห็นด้วยตาของเขา และเข้าใจด้วยจิตใจของเขา"(ยอห์น 12:40) พระเยซูทรงเป็นผู้เผยพระวจนะคนสุดท้าย และพระคำของพระองค์นั้นจะยังคงอยู่ตลอดไปจนถึงวันเวลาสุดท้าย พระเยซูได้เตือนพวกเราว่า "อย่าเชื่อเลย"(ข้อ 23-25)เกี่ยวกับเครื่องหมายต่างๆ และอย่าสงสัยในเรื่องใดๆเกี่ยวกับพระเจ้า เหตุการณ์ต่างๆที่จะเกิดขึ้นบนโลกนั้น ปล่อยให้เป็นไปตามวันเวลาของพระเจ้า และมนุษย์ไม่ได้เป็นผู้ทำให้เกิดเหตุการณ์เหล่านั้น

ข้อ 6-7 "ท่านทั้งหลายจะได้ยินเสียงสงคราว และข่าวลือเรื่องสงคราม คอยระวังอย่าตื่นตระหนกเลย ด้วยว่าบรรดาสิ่งเหล่านี้จำต้องบังเกิดขึ้น แต่ที่สุดปลายยุคยังไม่มาถึง เพราะประชาชาติตอประชาชาติ ราชอาณาจักรต่อราชอาณาจักรจะต่อสู้กัน ทั้งจะเกิดกันดารอาหารและแผ่นดินไหวในที่ต่างๆ" ทุกวันนี้พวกเราต่างก็ประสบกับปัญหาทางด้านอาหาร น้ำมัน และสงครามเศรษฐกิจ ทำให้ทุกๆคนต้องดินรนต่อสู้กันอยู่ทุกวันนี้ มนเป็นสงครามที่เราต้องสู้รบในปัจจุบัน ไม่ใช่เพียงแต่ประชาชาติต่อสู้กับประชาชาติกัน เราจำเป็นที่จะต้องมีไหวพริบหรือเล่ห์เหลี่ยมในทางเศรษฐกิจ และยิ่งกว่านั้น ความพินาศใหญ่หลวงที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้คือ ภูเขาน้ำแข็งที่อยู่ทางขั้วโลกเหนือก็กำลังละลาย เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงในประเทศจีน กันดารอาหารในอินเดีย พายุเฮอริเคนในสหรัฐอเมริกา และสภาพอากาศของโลกที่เริ่มร้อนขึ้น เหล่านี้ล้วนแต่เป็นเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นจริงแล้ว ในรอบทศวรรษที่ผ่านมา พวกเราไม่ได้มีผลกระทบมากนักกับสภาวะของข้าวยากหมากแพง แต่ตอนนี้มันเกิดผลกระทบขึ้นแล้ว หลายๆคนอธิษฐานต่อพระเจ้าให้ทรงช่วยเหลือผู้คน หรือไม่ก็ให้ช่วยหลีกเลี่ยงปัญหาของเหตุการณ์เหล่านี้ไม่ให้มันเกิด แต่เราห้ามเหตุการณ์ต่างๆเพื่อให้เป็นไปตามใจปรารถนาของพวกเราไม่ได้ พระเยซูทรงตรัสไว้ว่า "อย่าตื่นตระหนกเลย" ข้าพเจ้าได้เคยฟังนักเทศน์ท่านหนึ่ง ท่านได้เรียกร้องขอความปลอดภัยให้แก่คนในประเทศ ขอให้คนในประเทศที่จะหยุดการต่อสู้กัน เพื่อให้ประเทศนั้นเกิดความสงบ ซึ่งมันไม่ได้มีอยู่ในไบเบิลเลย พระเยซูทรงกล่าวเอาไว้แล้วว่า "สิ่งเหล่านี้จำต้องบังเกิดขึ้นแน่นอน"

ข้อ 9 "ในเวลานั้นเขาจะอายัดท่านทั้งหลายไว้ให้ทนทุกข์ลำบากและฆ่าท่านเสีย และประชาชาติต่างๆจะเกลียดชังพวกท่าน เพราะความจงรักภักดีของท่านที่มีต่อเรา" ข้าพเจ้าหวังว่า ท่านคงจะได้รับข่าวสารจากอีเมล์ของข้าพเจ้าเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศอินเดีย พวกเขาเหล่านั้นเป็นคริสเตียน บางคนก็เป็นผู้รับใช้ ผู้สอนศาสนา พวกเขาได้ถูกทำร้ายร่างกาย บ้างก็ถูกฝัง และบ้างก็ถูกฆ่า ชาวฮินดูที่เข้มแข็งและเชื่อในลัทธิของพวกเขา ได้ลุกขึ้นต่อต้านทุกๆคนที่พยายามจะเปลียนพวกเขาให้มาเป็นคริสเตียน และไม่เพียงแค่นั้น พวกเขาได้พยายามกีดกันคำสอนของพระเยซูคริสต์ในทุกๆด้าน ในอีเมล์ฉบับนี้ ข้าพเจ้าเชื่อว่าในพวกท่านบางคนอาจจะต่อต้านข้าพเจ้า...ดังที่พระเยซูตรัสไว้ว่า "ถ้าโลกนี้จะเกลียดชังท่านทั้งหลาย(ยอห์น 15:19)ดังนั้นท่านทั้งหลายก็เป็นสาวกของเรา" ข้าพเจ้าไม่เคยคิดจะเปลี่ยนแปลงความจริงของพระเจ้า พระองค์ทรงบอกให้ข้าพเจ้ากล่าวในสิ่งเหล่านี้ ซึ่งพวกท่านก็สามารถเห็นได้ว่าพระเจ้าทรงอยู่กับข้าพเจ้าจริง พระองค์ทรงเคลื่อนไหวและกระทำการอัศจรรย์ในระหว่างการเดินทางเพื่อกระทำพันธกิจของข้าพเจ้า

ข้อ 12-13 "ความรักของคนส่วนมากจะเยือกเย็นลง เพราะความอธรรมแผ่กว้างออกไป แต่ผู้ใดทนได้จนถึงที่สุดผู้นั้นจะรอด" เมื่อพระเยซูทรงให้บัญญัติใหญ่ (มาระโก 12:30-31)นั่นคือพระบัญญัติแห่งความรัก มีพวกเราสักกี่คนที่รักษาพระบัญญัติข้อ 2 จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง ข้าพเจ้าได้มีโอกาสสัมภาษณ์ศิษยาภิบาลสองสามท่าน รวมถึงพี่น้องที่เป็นคริสเตียนด้วย(ต่างนิกายกัน)ว่า มีกี่คนในพวกท่านที่รู้ว่าทำอย่างไรจึงจะรักเพื่อนบ้านของตนเองได้ และผลลัพธ์ที่ออกมาเป็น 0% ที่ได้ปฏิบัติจริง ตามพระบัญญัตินั้นันง่ายที่จะเข้าใจและแสดงมันออกมา แต่มันอาจยากที่จะกระทำให้เป็นจริงได้ พระเยซูทรงตรัสว่า"ความรักส่วนมากจะเยือกเย็นลง" ทุกคนควรจะรู้ว่าเราควรจะรักกันและกันได้อย่างไร พระเยซูทรงตรัสว่า ให้เราที่จะรักษาสันติภาพของความสัมพันธ์ของกันและกันเอาไว้ รวมไปถึงศัตรูด้วย อะไรอื่นที่นอกเหนือความรักมันก็คือความเกลียดชัง แล้วทันก็จะเป็นเหตุให้เราเริ่มต้นที่จะกล่าวโทษซึ่งกันและกันด้วย (มัทธิว 7:1-2)

พระธรรมในมัทธิวนั้นเชื่อมโยงไปถึงหนังสือ มาระโก บทที่ 13 และลูกกา บทที่ 21 ด้วย ซึ่งในนั้นพระเยซูได้กล่าวสิ่งต่างๆไว้อย่างชัดเจน และมันก็จเป็นความจริงตลอดไป เอเมน





เมื่อเดือนกรกฏาคม 2551 พวกเราได้ไปที่จ.เพชรบุรี และได้เยี่ยนเยียนคริสตจักรเก่าแก่แห่งหนึ่ง พวกเราได้พบกับศิษยาภิบาลหญิงคนแรกของประเทศไทย ตอนนี้เธออายุประมาณ 92 ปีแล้ว และเราได้ร่วมนัสการด้วยกันในวันอาทิตย์ที่นั่น






กลางเดือนสิงหาคม 2551 พวกเราไปเยี่ยมคริสตจักรที่พัทยา และหลังจากเสร็จสิ้นเวลานมัสการแล้ว ก็เป็นโอกาสดีที่พวกเราจะได้แบ่งปันเรื่องราวเกี่ยวพันธกิจของพวกเราที่ประเทศอินเดีย พวกเขารู้สึกตื่นเต้นมากเกี่ยวกับพันธกิจของพวกเรา และพวกเขาก็ได้ถามคำถามมากมายเกี่ยวกับผู้คน และขนบธรรมเนียมประเพณีที่นั่นด้วย หลังจากนั้นพวกเราก็ได้ร่วมกันร้องเพลง เต้นรำ และก็เล่นกับเด็กๆที่นั่น ฮาเลลูยา


พระเจ้าทรงเปิดทางให้กับข้าพเจ้าในการเผยแพร่และแบ่งปันพระกิตติคุณ ความรัก และความสุขให้กับทุกๆคน ดังนี้


1.แผนกพันธกิจในเรือนจำ(ประเทศไทย)ต้อนรับใบสมัครของผมที่จะเข้าไปเยียมเยียนผู้ต้องขังภายในเรือนจำได้ แต่ผมยังต้องรอการเรียกต่อไปอีกหน่อย
2.ศิษยาภิบาลสองสามท่านได้เชื้อเชิญผมให้ก่อตั้งศูนย์ฝึกอบรมศิษยาภิบาลสำหรับชุมชนขึ้น
3.คริสตจักรที่พัทยาและเชียงรายได้เชิญผมให้ไปเทศนาที่นั่น
4.คณะนักธุรกิจชายพระกิตติคุณสมบูรณ์สามัคคีธรรมนานาชาติ ได้เชื้อเชิญผมให้ก่อตั้งกลุ่มแคร์-ธุรกิจสำหรับภาคภาษาอังกฤษ


พวกเราต้องการการอธิษฐานสนับสนุนจากทุกๆท่าน เพื่อการกระทำพันธกิจต่างๆ เพื่อการจัดเตรียมสิ่งต่างๆ และการปกป้องคุ้มครองภัย


ขอขอบคุณทุกๆท่านที่ให้การสนับสนุนพวกเรา และขอพระสิริมีแก่พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์


ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆท่าน


Pastor Steve Peter Kok

พระเจ้าจะทรงปกป้องพวกเรา

ถึงพี่น้องในพระคริสต์

ก่อนอื่นผมขออ้างอิงในพระธรรมสดุดี 47:1-2 "ดูก่อนชนชาติทั้งหลาย จงตบมือ จงโห่ร้องถวายพระเจ้าด้วยเสียงไชโย เพราะพระเจ้ราองค์ผู้สูงสุดเป็นที่น่าคร้าวกลัว ทรงเป็นมหาราชเหนือแผ่นดินโลกทั้งสิ้น"

ก่อนที่จะปรับปรุงข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่ผมได้กระทำไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมอยากจะชวนทุกๆท่านมาอธิษฐานร่วมกันก่อน

"สาธุการแด่พระเจ้าผู้สูงสุด
พวกข้าพระองค์ขอสรรเสริญยกย่องพระนามพระองค์
และขอบพระทัยพระองค์ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก
พวกข้าพระองค์รู้สึกขอบพระทัยพระองค์สำหรับที่ได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์ พระเยซูคริสต์
ผู้ทรงสิ้นพระชนม์ลงบนไม้กางเขนเพื่อที่จะปลดปล่อยพวกเราให้เป็นอิสระจากอำนาจของซาตาน
และขอพระองค์ทรงโปรดประทานชีวิตนิรันดร์ให้แก่พวกข้าพระองค์ด้วยเถิด
ในความสับสนวุ่นวายและความชั่วร้ายของมนุษย์บนโลกใบนี้
พวกข้าพระองค์ขอยอมรับผิดในสิ่งที่ได้เคยกระทำผิดพลาดไปต่อพระองค์ ทำบาปต่อพระองค์
และทำให้พระองค์ทรงเสียพระทัย
พระเจ้า ขอพระองค์ทรงโปรดประทานอภัยในบาปของพวกเรา
ในสิ่งที่พวกเราได้กระทำผิดพลาดไปในชีวิตของพวกเรา
พวกข้าพระองค์รู้สึกเสียใจในสิ่งที่เกิดขึ้น
และพวกข้าพระองค์จึงมาทูลของการอภัยจากพระองค์
พระเจ้า พวกข้าพระองค์ทูลขอความเห็นใจจากพระองค์
และขอพระเมตตาจากพระองค์เพื่อไปถึงยังผู้คนของพระองค์
ผู้ที่ยังคงเมามายและกระทำความผิด ผู้ที่กำลังเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากและวุ่นวายสับสนในชีวิต
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่กำลังประสบปัญหาจากภัยแผ่นดินไหวในประเทศจีน ญี่ปุ่น และอินโดนีเซีย
ผู้ที่ต้องตกเป็นเหยื่อจากภัยของน้ำท่วม และพายุเฮอริเคน
ที่อยู่ในสหรัฐอเมริกา จีน พม่า ไทย อินเดีย และในอีกหลายๆประเทศ
พวกเราขออธิษฐานเผื่อผู้ที่เป็นเหยื่อจากภัยสงคราม และการขัดแย้งต่อสู้กัน
ไม่ว่าจะในเรื่องของศาสนา เชื้อชาติ สีผิว พรรคการเมือง และสถานการณ์ความไม่สงบ
ซึ่งเป็นผลให้เกิดความยุ่งเหยิง ความหิวกระหาย ข้าวยากหมากแพง
ทำลายซึ่งครอบครัวและทรัพย์สิน
มีหลายๆคนที่ต้องเสียชีวิต....ในแอฟริกา ตะวันออกกลาง อินเดีย และอีกหลายๆประเทศ
พระเจ้า ขอพระเมตตาคุณของพระองค์ได้ไปถึงพวกเขาเหล่านั้น
พวกข้าพระองค์ตั้งใจอธิษฐานเพื่อให้มีสันติภาพกลับคืนสู่ผู้ที่กำลังเผชิญปัญหาเหล่านั้น
พวกข้าพระองค์ขออธิษฐานเผื่อคณะรัฐบาลของประเทศต่างๆ
ขอพระองค์ทรงนำทางผู้นำและอวยพรประเทศต่างๆ
ช่วยให้พวกเขาค้นพบแนวทางที่จะช่วยเหลือประชาชนของพวกเขา
สุดท้ายนี้ พวกข้าพระองค์ขออธิษฐานเพื่อมนุษยชาติที่จะได้กลับใจจากความชั่วร้าย
และความโลภ และได้หันกลับมาเดินอยู่ในทางของพระองค์
มีความซื่อสัตย์ จริงใจ มีความเมตตากรุณา มีความกตัญญู
รักซึ่งกันและกัน เหมือนอย่างที่พระองค์ได้ทรงสอนพวกเราไว้
ขอบพระทัยพระองค์ที่ทรงสดับฟังคำอธิษฐานของพวกเรา
ขอพระสิริจงมีแด่องค์พระเจ้าของพวกเรา
พวกข้าพระองค์ขออธิษฐานในนามของพระเยซูคริสต์ อาเมน"



เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2551 คริสตจักรที่พัทยา (คณะเพรสไบทิเรียน) ได้เชิญผมให้มาแบ่งปันพระคำของพระเจ้าในวันอาทิตย์ เจนภรรยาของผมได้เป็นล่ามแปลคำเทศนาของผมเป็นภาษาไทย ผมได้แบ่งปันเกี่ยวกับคำทำนายในพระคัมภีร์เดิม ซึ่งได้ชี้แจงไว้อย่างชัดเจนเกี่ยวกับการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์ซึ่งปรากฏแล้วในพระคัมภีร์ใหม่ นอกจากนี้ผมยังได้แบ่งปันเกี่ยวกับคำพยากรณ์ของพระเยซูเกี่ยวกับเรื่องของวันสิ้นยุค หลังจากที่ได้แบ่งปันข่าวสารแล้วศิษยาภิบาลของที่นั่นยังได้เชิญผมให้กลับไปที่นั่นอีกครั้งเพื่อแบ่งปันข่าวสารอีกครั้งหนึ่ง และเมื่อสองวันก่อนที่ผมจะได้เดินทางไปที่นั่น ได้เกิดพายุขนาดย่อมขึ้นบริเวณแนวชายฝั่งทะเลของพัทยา มีคลื่นสูงประมาณ 30 เมตรก่อตัวขึ้น พวกเรารู้สึกเป็นห่วงทุกคนที่อาศัยอยู่ที่นั่น พวกเราจึงอธิษฐานเผื่อพวกเขา ขอบคุณพระเจ้า ภูมิอากาศกลับสู่สภาพปกติ และพวกเราจึงสามารถไปเยี่ยนเยียนพี่น้องที่นั่นได้ในวันอาทิตย์

ทุกๆวันเสาร์ตอนเช้า ผมได้มีโอกาสไปแบ่งปันพระคำของพระเจ้า และอธิษฐานร่วมกับพี่น้องที่สวนลุมพินี กรุงเทพฯ มีศิษยาภิบาลจากหลายๆคริสตจักรมารวมตัวกัน และเทศนาคำสอนของพระเยซูให้กับพี่น้องทั้งที่เป็นคริสเตียนและไม่ได้เป็นคริสเตียนฟัง พวกเขาสามารถสัมผัสได้ถึงความรักของพระเยซูที่นั่น มีผู้คนหลายคนที่ได้รับการหนุนใจและได้ยอมรับพระเยซูคริสต์เป็นพระคำของพระเจ้า มีหลายๆคนออกมาแบ่งปันคำพยานเกี่ยวกับว่าพระเยซูคริสต์ทรงเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขาอย่างไรบ้าง และพวกเขาบางคนยังได้รับการรักษาโรคอย่างอัศจรรย์ด้วย ฮาเลลูยา

ศิษยาภิบาลที่นั่นได้ขอให้ผมมาช่วยในงานวันคริสตมาสที่สวนลุมซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 20 ธันวาคม 2551

แม้สถานภาพทางการเงินของผมจะลดน้อยลง แต่ผมจะยังคงเดินหน้าต่อไปเพื่ออาณาจักรของพระเจ้า โรม 15: 24 "เมื่อข้าพเจ้าจะไปประเทศสเปน ข้าพเจ้าจะแวะมาหาท่านทั้งหลาย เพราะข้าพเจ้าหวังว่าจะได้พบท่านขณะที่ไปตามทางนั้น และเมื่อได้รับความบันเทิงใจกับท่านทั้งหลายบ้างแล้ว หวังว่าท่านจะช่วยจัดส่งให้ข้าพเจ้าเดินทางต่อไป" (http://faithwithyou.blog.com/2007/8/)

ขอพระเจ้าอวยพระพรท่านและคนที่ท่านรักด้วย

ชาโลม

Pastor Steve Peter Kok