10 กุมภาพันธ์ 2552

บุตรชายที่หายไป

บ้าน-ฝันหรือฝันไกลเกินไป

สวัสดีทุกๆท่าน Pastor Steve Kok ได้เคยพูดถึงเรื่องบล็อคของเขา ผมชื่อ Francis Elijah Kok และผมอยากที่จะแบ่งปันคำพยานของผมเมื่อผมนั้นพร้อม กรุณาอ่านคำพยานของผมอย่างเปิดใจ เนื่องจากสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องจริงของลูกผู้ชายคนหนึ่ง ผมได้เลือกวันที่ 30 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นวันเกิดของผมนี้ ที่ผมจะมาแบ่งปันคำพยานของผม ตอนนี้ผมก็อายุ 41 ปีแล้ว

ผมคิดว่ามันถึงเวลาแล้ว และผมอยากจะแบ่งปันเกี่ยวกับหัวข้อข้างบนคือ บ้าน-ฝันหรือฝันไกลเกินไป

ผมเริ่มต้นจากที่ไหนหรือเริ่มต้นอย่างไร ผมขอใช้เรื่องราวของบุตรที่หายไปเป็นการเริ่มต้นในการแบ่งปัน คุณอาจจะคุ้นเคยกับเรื่องราวของ บุตรชายที่หายไปในพระคัมภีร์ไบเบิล แล้วบุตรชาติคนนั้นก็ได้หันกลับเข้าสู่อ้อมแขนของพ่อแม่...แต่สำหรับผม มันยังคงเหมือนเดิม เหมือนว่ามันเป็นเพียงแค่ความฝัน

เริ่มต้นนั้น ผมมาจากครอบครัวธรรมดาที่มีสมาชิกทั้งหมดสี่คน ผมมีพี่สาวคนหนึ่ง ส่วนตัวผมเองเป็นน้องคนเล็ก พวกเราได้บัพติศมาเมื่อตอนอายุ 15 ปี ที่ Methodist Church ผมยอมรับว่าศรัทธาของผมไม่เข้มแข็ง หรือยังคงมีความกังวล พวกเราจนและไม่มีค่าควรที่จะเป็นสมาชิกของคริสตจักรหรือเปล่า ผมไม่สามารถหาคำตอบได้ แต่มันก็นานมากแล้วซึ่งผมก็ยังจำได้

คาดว่าเวลามันผ่านไปเร็วมาก และผมได้สอบผ่าน STPM เพื่อเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยแต่ผมก็ไม่ได้เข้าเรียน เพราะเหตุผลทางด้านการเงินของครอบครัว และผมก็ไม่ได้เข้าเรียนที่วิยาลัยเอกชนใดๆด้วย ในเวลานั้น ตัวผมเองเหมือนกับเด็กไร้เดียงสาเดินไปตามท้องถนน ในเวลานั้น ผมก็ได้งานทำในบริษัท ผมทำงานวันละ 10 ชั่วโมง เริ่มตั้งแต่ 22.00 – 8.00 น. ทุกๆวัน แล้วผมก็ได้เข้าเรียนในวิทยาลัยเอกชนตอนกลางวัน ผมเรียนเกี่ยวกับ NCC Computer แล้วความฝันของผมหล่ะ ผมฝันที่จะเป็นทนาย ถ้าไม่ได้เป็นทนายความก็ขอที่จะเป็นโปรแกรมเมอร์เก่งๆ

แล้วตัวผมเริ่มล้มลงตอนไหน ผมคิดว่ามันเริ่มต้นขึ้นเมื่อผมเริ่มมีความทะเยอทะยานในตัวเอง มันเริ่มขึ้นแล้วแม่ก็ไม่พอใจผม ห้ามโน่นห้ามนี่ผม ผมไม่ได้ไปสอบ เพราะว่าเราไม่มีสามารถที่จะรับภาระเรื่องค่าใช้จ่ายได้ และตัวผมเองก็ต้องรับผิดชอบภายในครอบครัวด้วย เพราะว่าพี่สาวของผม เธอลาออกจากงานเพื่อที่จะศึกษาต่อ

ผมเปลี่ยนงานบ่อยมาก แต่ละครั้งก็หวังว่าจะได้เงินเดือนที่ดีกว่าและสูงกว่า และแน่นอนว่าเมื่อมีรายได้สูงขึ้นผมก็เริ่มทำบัตรเครดิตและเรียนรู้ชีวิตแบบผิดๆ ชีวิตของผมเริ่มแย่ลงซึ่งผมไม่สามารถตำหนิใครได้นอกจากตัวเอง จากนั้นผมก็เริ่มคิดการณ์ใหญ่ ผมต้องการทำธุรกิจ ผมจึงเริ่มกู้เงิน แล้วผมก็เริ่มพัวพันกับสามสิ่งคือ เหล้า ผู้หญิง คาราโอเกะ ในเวลานั้นผมได้เป็นหนี้ก้อนโตและก็กู้เงินนอกระบบด้วย ด้วยเหตุนี้นี่จึงเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้ผมล้มลง ตอนนั้นผมได้แต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่ง และก็มีลูกสาวที่น่ารักคนหนึ่ง

นี่เป็นการเริ่มต้นและจุดจบของผม ผมอธิษฐานว่า ถ้าหากว่าใครได้อ่านคำพยานของผม และเมื่อใดที่พวกท่านพบใครบางคนที่กำลังล้มลม โปรดอธิษฐานและช่วยเหลือเขาด้วย

อีกครั้งหนึ่งที่ผมเริ่มจมดิ่งอยู่ในความบาป ผมไม่สามารถหางานได้ ผมท้อแท้จนกระทั่งคิดว่าจะไปขับรถแท็กซี่ แต่ครอบครัวผมไม่เห็นด้วย เราจะไปหาเงินมาจากที่ไหนได้ และผมก็หันกลับไปกู้เงินนอกระบบอีกครั้ง แต่ตอนนี้ผมไม่สามารถที่จะจ่ายคืนได้ แล้วผมทำอย่างไร พี่น้องครับ ผมหนี หนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมออกจากประเทศมาเลเซียเพื่อไปทำงานที่ประเทศสิงค์โปร์ และมันยากมากที่จะทำให้เรื่องมันจบ

ผมหนีปัญหาไปนานกว่าสิบปี ในปีแรกๆที่ผมหนีมานั้น ผมรู้สึกโดดเดี่ยว แม่ของผมห้ามไม่ให้ภรรยาพาลูกมาพบผมเพราะว่าต้องการทำโทษผมที่ผมเดินทางผิด ลูกสาวผมตอนนั้นอายุประมาณ 4 ขวบ เหตุฉะนั้นเมื่อผมอยู่ที่สิงค์โปร์ผมจึงรู้สึกโดดเดี่ยว ผมจึงได้หันไปหาสุราซึ่งเป็นเพื่อนของผมในเวลานั้น ผมพยายามไปโบสถ์ใหญ่แห่งหนึ่งในสิงค์โปร์ ผมสารภาพบาปต่างๆ ผมได้เล่าคำพยานของผมให้พวกเขาฟัง แต่ที่นั่นไม่มีใครยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ผมไม่ใช่คนบริสุทธิ์ ผมถูกตำหนิ แต่ก็ไม่มีใครที่จะให้คำปลอบโยนหรือกำลังใจใดๆแก่ผม เพราะว่าผมเองก็ดื่มหนักด้วย ผมไม่เคยที่จะส่งเงินกลับบ้านเลย

ผมตกงานแล้วก็ได้งานใหม่ และงานนี้มันก็เกี่ยวข้องกับเรื่องของการพนัน ผมได้ถลำลึกลงไปในบาปอีก ผมเล่นการพนันด้วย ผมไปที่ประเทศจีน ไทย มาเก๊า ฮ่องกง และได้เล่นการพนัน ซึ่งทำให้ผมยิ่งถลำลึกลงไป ผมมัวเมากับผู้หญิงและการดื่ม บาปเหล่านั้นผมซื้อมันด้วยเงิน

ใช่มันเป็นการเสี่ยง ผมสูญเสียเงินไปมาก ภรรยาของผมขอหย่า และอะไรที่ทำร้ายจิตใจผมมากที่สุดเมื่อผมได้กลับมาที่ประเทศมาเลเซีย ลูกสาวของผม เธอปฏิเสธผม ผมไม่สามารถตำหนิเธอได้เพราะว่าผมไม่เคยทำหน้าที่ของพ่อเลย ผมได้กลับมาเป็นพนักงานในร้านขายเกมส์ และก็อีกครั้งที่ผมถูกชักชวนให้มาทำงานในสภาพแวดล้อมเกี่ยวกับการพนัน และครั้งนี้จึงทำให้ผมได้เจอกับ Pastor Steve Kok ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา

ผมรู้จักกับเขาทาง Skype เมื่อหลายเดือนก่อน ผมยังเหมือนคนที่รอคอยอย่างมีความหวังอยู่บ้างที่ท่าเรือ และก็อาจจะได้กลับไปยัง
ทางสายเก่าที่เคยเดินมา อยากมีความรักและความอบอุ่นจากครอบครัวอีกครั้ง พวกเราแชทคุยกันในช่วงเช้า ผมกำลังคิดที่จะออกจากงานอีกครั้งหนึ่งและจะกลับบ้านที่กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซียเร็วๆนี้ เวลานี้พระเจ้าทรงดึงผมขึ้นมาจากบาป พระองค์ไม่ต้องการให้ผมทำงานนี้ ผมก็ได้อธิษฐานต่อพระเจ้าในเวลาต่อมา

ผมเริ่มอ่านพระคัมภีร์ไบเบิ้ลอีกครั้ง และได้อธิษฐานถึงพระเจ้า มันต้องต่อสู้อย่างหนักในการที่พยายามจะเดินให้ถูกทาง ทุกๆเลี้ยวที่เดินเหมือนว่าเราชอบที่จะเลี้ยวผิดทาง เวลานั้นผมยังคงนั่นเขียนคำพยานนี้ ผมยังไม่ได้กลับบ้าน ซึ่งนี้ก็เหมือนเรื่องบุตรชายที่หายไป

ผมอธิษฐานและตั้งความหวังไว้ว่า เมื่อผมกลับบ้าน ผมจะสามารถหางานใหม่ และใช้ประสบการณ์ด้านโปรแกรมเมอร์ ผมรู้สึกว่ายังไม่ลืมวิชาความรู้นี้ ผมอธิษฐานไว้ว่า ใครก็ตามที่ได้อ่านคำพยานนี้ซึ่งผมไม่ได้ตั้งความหวังอะไรเอาไว้ แค่ว่าคงจะมีสักวันที่จะมีแสงสว่างเกิดขึ้นในชีวิต และผมขอให้คุณช่วยอธิษฐานสักเล็กๆน้อยๆเผื่อผมด้วย ผมกลับบ้านอย่างโดดเดี่ยวและไม่เหลืออะไรเลย และผมหวังว่าสักวันหนึ่งจะได้เจอกับลูกสาวของผม ตอนนี้เธออายุ 12 ปีแล้ว

Pastor Steve Kok ได้ให้กำลังใจผมจนกระทั่งวันนี้ เขาไม่เคยห่างไกลไปจากผมเลย เขายังคงต้องการให้ผมไปร่วมทีมพันธกิจด้วยกัน สำหรับหัวใจของเขาแล้ว เขาเป็นคนจริงใจและเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักของพระเจ้าในตัวเขา

พระเจ้าอวยพร

Bro. Francis Elijah KokHome

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น