10 กุมภาพันธ์ 2552

พระเจ้าทรงรักษามะเร็งร้าย ระยะสุดท้ายของผม

เมื่อประมาณห้าปีมาแล้ว ผมป่วยเป็นโรคมะเร็งในลำไส้ ในช่วงที่ผมเป็นนั้น สภาพของผมไม่เหมือนกับทุกวันนี้ จะเดินเหินไปมาก็ไม่สะดวก บังเอิญว่ามีอยู่วันหนึ่ง ผมออกจากโรงพยาบาลจุฬาฯแล้วก็ข้ามถนนมาที่ฝั่งนี้(สวนลุม) แล้วก็เข้ามาที่เกาะลอยนี้ ก็บังเอิญได้เจอกับผู้ปกครองเกียรติกับคุณอัญชลี พอพวกเขาเห็นสภาพผม เขาก็ถามผมว่าเป็นอะไร ไปทำอะไรมา ในวันนั้นผมถือเอกสารของโรงพยาบาลมาด้วยก็เลยบอกเขาว่า ผมเป็นมะเร็งในลำไส้และตอนนี้ก็ลามมาถึงที่ตับแล้ว ตอนนี้ก็ฉายแสงมาทั้งหมด 7 ครั้ง และก็ให้คีโมมา 6 เดือนแล้ว ในสภาพผมตอนนี้ยังไม่หายดี (ที่จริงหมอบอกว่าผมเป็นระยะสุดท้ายและก็รักษาไม่ได้แล้ว) แล้วคุณอัญชลีก็เลยถามผมว่าอยากจะหายจากโรคนี้ไหม ซึ่งตัวผมเองเป็นโรคนี้ก็แน่นอนว่าผมอยากหายอยู่แล้ว คุณเกียรติกับคุณอัญชลีก็เลยบอกว่า ถ้าอยากหายก็อาทิตย์หน้าให้มาที่เกาะลอยนี้เวลา 8.00 น. อีกครั้ง หลังจากนั้นพวกเขาก็ให้เงินผมมา 50 บาท เพื่อไปทานข้าว ในขณะที่ผมกำลังทานข้าวอยู่นั้น ผมก็คิดในใจว่า ขนาดหมอที่โรงพยาบาลยังรักษาผมไม่ได้เลย แล้วอะไรกันนี่ ไอ้สิ่งที่ผมมองไม่เห็นนี่หล่ะจะมาสามารถรักษาผมให้หายได้อย่างไร

แล้วพอวันเสาร์ต่อมา ผมก็กลับมาที่สวนลุมแห่งนี้อีกครั้งหนึ่ง แต่ผมก็เดินผ่านเกาะลอยนี้ไป แต่แล้วเหมือนว่ามีอะไรบางอย่างมาดลใจผม ให้ผมหันกลับและเดินมาที่เกาะลอยแห่งนี้ จากนั้นผมก็ได้ยินเสียงเพลงอันไพเราะ ผมก็เลยสงสัยว่าเอ๊ะ...ที่นี่เขามีอะไรกันหรือ ก็เลยเดินเข้ามานั่ง ปรากฏว่าก็มีหลายๆคนที่เข้ามาให้การต้อนรับผมเป็นอย่างดี หลังจากนั้นก็มีคนกล่าวต้อนรับและแนะนำให้ทุกๆท่านทราบว่าตอนนี้มีคนเข้ามาใหม่เพิ่มอีกหนึ่งคน แล้วเขาก็ให้ผมแนะนำตัวว่าผมเป็นใคร ชื่ออะไร

ผมชื่อ นายสุเมธ บุญธนวัฒน์ จากนั้นเขาก็ถามว่าผมเป็นอะไรมา ผมก็ตอบว่า ผมเป็นมะเร็งในลำไส้ซึ่งก็รักษามาเป็นเวลา 3-4 ปีแล้ว แต่ก็ไม่หาย หลังจากนั้นทุกๆคนก็ช่วยกันอธิษฐานให้ผม และ 6 เดือนหลังจากนั้นผมก็มารับเชื่อ และทุกๆวันเสาร์ผมต้องมาที่เกาะลอยแห่งนี้ และวันอาทิตย์ผมก็จะต้องไปโบสถ์

ครั้งสุดท้ายที่ผมไปโรงพยาบาล คือวันที่ผมเดินมาที่สวนลุม ที่เกาะลอยแห่งนี้ และอีกหกเดือนหมอก็ได้นัดผมให้ไปตรวจอีกครั้งที่โรงพยาบาลจุฬาฯเพื่อเอกซ์เรย์ หมอที่รักษาผมก็ได้ถามผมว่า ลุงไปรักษาที่ไหนมาหรือเปล่า ผมก็บอกว่าเปล่า ตั้งแต่ผมไปเอาใบส่งตัวจากโรงพยาบาลมเหสักข์เพื่อมารักษาที่โรงพยาบาลจุฬาฯ ผมก็ไม่ได้ไปที่ไหนอีก

หมอก็บอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ คุณลุงเชื่อหรือไม่ว่าไอ้จุดของมะเร็งที่ตับของลุงตอนนี้นะ มันไม่มีแล้ว มันหายไปแล้ว ผมก็เลยคิดว่า ไม่มีแล้วก็ไม่เป็นไรนี่ แล้วหลังจากนั้นอีกไม่กี่วัน หมอก็นัดให้ผมไปเอกซ์เรย์อีกครั้งหนึ่งที่ศูนย์เอกซ์เรย์ที่บริเวณอุรุพงษ์ พอผลเอกซ์เรย์ออกมา หมอก็บอกว่า มันน่าอัศจรรย์จริงๆ เพราะรู้สึกว่ามะเร็งที่ลำไส้ของลุงมันจะไม่มีแล้วนะ มันหายไปแล้ว

หมอที่นั่นก็ถามผมอีกว่าไปรักษาตัวที่ไหนมา หลังจากนั้นผมก็เลยเล่าให้หมอฟังว่า ผมไม่ได้ไปรักษาที่ไหนเลยแต่ว่าผมไปรับเชื่อพระเจ้า หมอก็ถามว่าพระเจ้าอะไรหรือ ผมก็ตอบหมอไปว่า ก็พระเยซูเจ้าไงหล่ะ หมอก็ยังถามต่อไปอีกว่า แล้วเขาทำกันยังไง ผมก็ตอบไปว่าก็ไม่มีอะไรมาก ผมก็อธิษฐานถึงพระองค์ทุกเช้า ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าทุกๆเช้า และก็ศึกษาพระคัมภีร์ทุกๆเช้า ส่วนวันเสาร์ผมก็จะมาฟังอาจารย์เทศนาพระคำของพระเจ้าที่สวนลุม

นอกจากนี้แล้วก็ยังเป็นพยานให้อีกหลายๆคนฟังว่า พระเจ้าทรงกระทำการอัศจรรย์รักษาผมให้หายจากโรคมะเร็งร้ายได้อย่างไร ผมหายจากโรคมะเร็งมาได้เกือบ 5 ปีแล้ว และตอนนี้สุขภาพของผมก็แข็งแรงดี

เรื่องตรงนี้ใครจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ แต่ผมรู้ว่าพระเจ้าทรงอยู่กับเรา และพระองค์ทรงรักษาผมให้หายจากโรคมะเร็ง ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงรักษาผมให้หาย ตอนนี้มีหลายๆคนในโรงพยาบาลไม่เชื่อผม และสงสัยว่าผมหายจากโรคได้อย่างไร ผมเอาเอกสารที่หมอระบุว่าผมเป็นมะเร็งลำไส้ระยะสุดท้าย ซึ่งได้ลามมาถึงตับแล้ว และผลเอกซ์เรย์ออกมาว่าผมหายจากโรคแล้วหลังจากที่ผมได้มารับเชื่อ

พระเจ้าทรงมีอยู่จริง ถ้าไม่เช่นนั้น ผมก็อาจจะไม่ได้มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้วก็ได้ ห้าปีแล้วที่ผมได้รับบัพติศมาแล้วที่คริสตจักรใจสมาน ผมขอบคุณพระเจ้าสำหรับการช่วยเหลือผู้ยากไร้อย่างผม

Bro. สุเมธ บุญธนวัฒน์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น