10 กุมภาพันธ์ 2552

เคยถวายผ้าป่าช่วยชาติด้วยเงินดอลล่าห์...ทำบุญ50ล้านก็ไม่สามารถไปสวรรค์ได้

ผม ดร.กำจร เชาวน์รัตน์ อดีตเคยเป็นลูกศิษย์ของหลวงตามหาบัว และเป็นทำการถวายผ้าป่าช่วยชาติ ตัวผมเองนั้นทองคำในคอก็ไม่เคยใส่ แต่ผมได้ถวายทองคำหนักเป็นสิบๆกิโลให้กับวัด นอกจากนี้ผมยังเป็นผู้ที่บริจาคเงินหลายร้อยล้านเพื่อสร้างตึกสงฆ์ของโรงพยาบาล เหตุผลที่ผมทำเช่นนั้นก็เพราะว่าอยากไปสวรรค์ เพราะผมเคยถูกสอนมาว่า กรรมดีกับกรรมชั่วไม่สามารถหักล้างกันได้ และตัวผมเองไม่เคยทำกรรมหนักๆ แต่กรรมเบาๆนั้นทำทุกวัน เช่น ตบยุง ฆ่ามด ก็เลยเกิดความรู้สึกกลัวว่าจะไปสวรรค์ไม่ได้

ผมเคยเป็นนายธนาคาร เคยเป็นวุฒิสมาชิก เคยเป็นผู้จัดรายการธรรมะทางทีวีทุกวันจันทร์ พุธ ศุกร์ และเคยเป็นอีกหลายๆอย่าง แต่ก็ไม่เคยภาคภูมิใจเท่ากับการได้มาเป็นลูกของพระเจ้า ในอดีตนั้นผมเข้มแข็งมากในพระพุทธศาสนา และพระหลายๆท่านก็รู้จักผมดี ซึ่งตอนนี้หลายๆคนก็สงสัยว่าผมนั้นมาเป็นลูกของพระเจ้าได้อย่างไร นั่นเป็นเพราะพระองค์ทรงเรียกผม

ผมเป็นคนชอบร้องเพลง และเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว อยู่ดีๆผมก็รู้สึกคิดถึงพระเจ้า วันหนึ่งผมกำลังร้องเพลงของ Elvis Presley ผมร้องเพลงของเขาตามเนื้อเพลงที่เขาร้องมาเป็นเวลาสามสิบปี ซึ่งผมเองก็ไม่เคยสนใจเนื้อหาของเพลงเลย แต่เนื้อหาของเพลงที่ผมได้ร้องในวันนั้น มันเป็นเพลงในอัลบัมเกี่ยวกับการนมัสการพระเจ้า และทำให้ผมได้รู้สึกถึงพระเจ้าขึ้นมา

ผมมีลูกสะใภ้เป็นหมออยู่ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎ เขาเป็นคริสเตียน และเขาก็พยายามนำให้ข้าพเจ้าเป็นคริสเตียน แต่ข้าพเจ้าไม่สนใจ วันนึงเขาได้ชวนภรรยาข้าพเจ้าไปเข้าค่ายคริสเตียนสองคืน ซึ่งในเวลานั้นก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะว่าถือว่าเป็นการไปเที่ยวทะเล แต่ปรากฏว่าเมื่อภรรยาของผมกลับมาก็มา เธอก็มาเล่าถึงความประทับใจในพี่น้องที่เป็นคริสเตียน จากนั้นเธอก็ชวนให้ผมไปเป็นคริสเตียนกัน ผมนั้นนึกขอบคุณพระเจ้าเพราะว่าตัวผมเองนั้นอยากที่จะเป็นคริสเตียนอยู่แล้ว แต่ว่าไม่กล้าบอกกับภรรยา กลัวว่าเธอจะไม่ยอมรับและก็ต้องมาต่อว่าผม เพราะผมเห็นเธอค่อนข้างเคร่งครัดในพระพุทธศาสนา เธอสวดมนต์ไหว้พระเป็นประจำทุกวัน รวมทั้งถือศีลกินเจด้วย แต่แล้วจู่ๆเธอก็มาชวนผม ผมก็แกล้งทำท่าอิดออด แต่ในใจนั้นยินดีเป็นอย่างยิ่ง ก็ขอบคุณพระเจ้า

มีหลายๆสิ่งหลายๆอย่างเกิดขึ้นในชีวิตของผมมากมาย พระเจ้าทรงกระทำการอัศจรรย์ในชีวิตของผมหลายครั้ง แต่ว่าผมก็ไม่ได้คิดอะไรนอกจากคำว่า “ฟลุ๊ค”

ผมมีอาการนิ้วล็อคที่หัวแม่โป้งขวา ค่อนข้างทรมานมาก ก็ได้ไปให้แพทย์ตรวจที่โรงพยาบาลวิชัยยุทธ หมอบอกว่าต้องผ่าตัดเพราะว่าเป็นพังผืด แต่ว่าต้องทำใจว่าเมื่อผ่าตัดเสร็จแล้ว สภาพของนิ้วจะไม่เหมือนเดิมนั่นคือ นิ้วจะไม่มีแรงแม้แต่จะถือหรือยกแก้วขึ้นมาได้เพราะว่าแก้วก็จะร่วงหล่นลงมา ผมก็กังวลมากจึงอธิษฐานถึงพระเจ้าขอให้พระองค์ทรงช่วย ปรากฏว่าเช้าวันรุ่งขึ้นนิ้วของผมก็หายเป็นปกติ กระผมเชื่อแล้วว่าพระเจ้าทรงกระทำการอัศจรรย์ ไม่ใช่การฟลุ๊คหรือบังเอิญ เมื่อผมกลับไปหาหมอ หมอก็ตกใจมากและได้ถามว่าผมไปทำอะไรมา มันน่าอัศจรรย์จริงๆเพราะว่าหมอเตรียมจะผ่าตัดให้ผมอยู่แล้ว ผมก็เลยตอบหมอไปว่า ผมมีหมอดีอยู่บนโน้น นั่นคือองค์พระเยซูคริสต์ของผม

ตัวผมเองเมื่อก่อนผมเคยแขวนพระมูลค่าสิบล้านยี่สิบล้าน แต่เดี๋ยวนี้ผมไม่แขวนแล้ว เพราะผมมีพระเจ้าอยู่ในใจของผม ดังนั้นผมจึงไม่จำเป็นต้องแขวนอะไรไว้ที่คออีก

วันนี้ผมได้พบกับเจ้าของวิญญาณของผม พระผู้สร้างของผม ผมพบทุกสิ่งทุกอย่างของผมแล้ว เหมือนกับเพลงที่ผมร้อง His hand in mine พวกเรานั้นเกิดมาบนโลกใบนี้ไม่มีใครถืออะไรติดตัวมาใช่ไหม เราต้องมาหากันเอาเอง ถึงแม้ว่าเราจะรวยกว่าบิลเกต แต่วันนึงเราก็ต้องตาย แล้วชีวิตหลังความตายนั้นพวกเราจะไปไหน แน่นอนว่าทุกคนอยากจะไปสวรรค์ แล้วคุณจะไปสวรรค์ได้อย่างไรในเมื่อคุณยังไม่รู้จักกับเจ้าของสวรรค์เลย

มีหลายๆคนมาถามผมว่า เป็นคริสเตียนแล้วลำบากใจไหม ผมอยากจะบอกว่าผมไม่ลำบากใจเลย แต่ผมกลับยิ้มแย้มแจ่มใส สิ่งที่ผมอยากจะกล่าวถือต่อไปนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก นั่นคือบัญญัติสิบประการของพระเจ้า

เคยได้ยินใช่ไหมว่า ห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามโกหก ห้ามลักทรัพย์ ห้ามกินเหล้า ห้ามผิดประเวณีผัวเมียเขา นี่คือศีลห้าที่ผมเคยยึดถือและปฏิบัติ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “โลกนี้เป็นอนิจจัง” โลกธรรมแปดที่ผมเคยถือมามีว่า “มีลาภก็เสื่อมลาภ มียศก็เสื่อมยศ” และในหนังสือปัญญาจารย์ได้กล่าวไว้ว่า “มีวาระเกิดก็มีวาระตาย มีวาระเจ็บก็มีวาระหาย มีวาระหัวเราะก็มีวาระร้องไห้” ซึ่งไม่ได้ต่างกันเลย แม่แต่ “เมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา” ซึ่งพระเจ้าของเราก็มีความรัก และเมื่อเรามีความรักเราก็จะไม่เกลียดใคร พระองค์ทรงสอนไว้ว่า “ถ้าใครตบแก้มซ้ายให้ยื่นแก้มขวาให้อีก” แต่ไม่เคยสอนว่า ถ้าใครตอบแก้มซ้ายก็ให้เอาหมัดขวาสวนตอบ

คำสอนของพระเจ้านั้นไม่ยากเลยที่เราจะปฏิบัติ ในทางของพระเจ้านั้นมีทางเพียงแค่สองทางนั่นคือ ถ้าทำดีเราก็ไปสวรรค์นิรันดร์ แต่ถ้าทำบาปเราก็ต้องไปนครนิรันดร์ เราไม่ต้องมาเกิดใหม่อะไรอีกแล้วเพราะว่าเราจำอะไรไม่ได้ เราเคยถูกสอนมาว่าเรื่องชาตินี้ ชาติโน้น เอาแค่ว่าเรานึกจะไปหยิบของบางทีเราก็จำไม่ได้แล้วว่าเราจะไปหยิบอะไร หรือถ้าถามว่าเมื่อสัปดาห์ที่แล้วคุณทานอะไร คุณยังจำไม่ได้เลย

วิญญาณของเรานั้นมาจากพระเจ้า ชีวิตของเรา เรามีพ่อเพียงสองคนนั่นคือพ่อผ่ายเนื้อหนังอันนี้เราก็ทราบดี และพ่อฝ่ายจิตวิญญาณนั่นก็คือพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นผู้สร้างเราขึ้นมา พวกเรามาจากพระองค์ ถ้าหากว่าชีวิตของเราเราไม่รู้จักผู้สร้างเราแล้ว คิดว่าอะไรจะเกิดขึ้น ดังนั้นเราจำเป็นที่จะต้องกราบไหว้สิ่งที่สร้างเรา ไม่ใช่กราบไหว้บูชาสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาเอง

เรานมัสการพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ไม่ได้กราบไหว้สิ่งที่ไม่มีตัวตน ชีวิตของคนเรานั้นสั้น ไม่มีใครที่จะไม่ตาย แต่ถ้าถามว่าชีวิตหลังความตายนั้นไปไหน ผมอยากจะฝากไว้ว่า อย่าไปเชื่อคำพูดที่ว่าไปนรกดีกว่ามีเพื่อนมากมาย อย่าไปสวรรค์เลยไม่ค่อยมีใคร มันไม่จริง เราเป็นลูกของพระเจ้า เราต้องกลับไปหาพระองค์

ผมขอยืนยันว่าพระเจ้าไมใช่ศาสนา พระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้าง คำว่าศาสนานั้นเพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน ทำไมเราจึงเรียกตัวเองว่าคริสเตียน คำว่าคริสเตียนนั้นหมายความถึงว่า การที่เราเป็นเหมือนพระคริสต์ เรามีความรักอย่างพระคริสต์ เราทำความดีเหมือนพระคริสต์

ทุกศาสนานั้นสอนให้คนเป็นคนดีนั้นใช่ ไม่ผิด แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผิดนั้นคือ “ความรอด” ถ้าเราไม่รู้จักพ่อฝ่ายวิญญาณแล้ว ต่อให้เรากระทำความดีมากมาย เราก็ไม่สามารถรอดได้ แล้วอะไรจะเกิดขึ้น สิ่งที่สำคัญคือเราต้องกลับไปหาพ่อของเรา กลับไปหาพระผู้สร้างเรามา และนั่นจึงจำเป็นที่เราต้องกราบไหว้สิ่งซึ่งสร้างเรามานั่นคือพระเจ้า ผมและภรรยา รวมถึงครอบครัวของผม พวกเราใช้เงินมหาศาลในการแสวงหาหนทางสู่สวรรค์ แต่พวกเราก็ไม่สามารแสวงหาหนทางไปสู่สวรรค์ได้

พวกเรามักจะพูดว่าชอบพูดว่า “เห็นก่อนแล้วจึงจะเชื่อ” แต่ว่าในทางของพระเจ้านั้น ท่านจำเป็นต้อง “เชื่อก่อนแล้วท่านจะเห็นสิ่งอัศจรรย์อย่างแน่นอน” พระเจ้าทรงอวยพรให้กับผมและครอบครัวอย่างมากมาย ผมขอบถวายชีวิตทั้งชีวิตของผมในการรับใช้พระเจ้า สุดท้ายนี้ผมอยากจะฝากพี่น้องไว้ว่า “คิดอะไรไม่ออก ให้บอกพระเจ้า” เอเมน

ดร.กำจร เชาวน์รัตน์

(อดีตสมาชิกวุฒิสภา)


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น