มันไม่ใช่งานง่ายเลยที่พวกเราจะทำเช่นนั้นได้ เพราะว่ามันหมายความว่า พวกเราต้องออกจากงาน ต้องยอมสละทุกสิ่งแม้แต่ความสุขส่วนตัว และความสะดวกสบายต่างๆในชีวิตประจำวันของพวกเรา แล้วออกเดินทางโดยที่พวกเราไม่เหลือทรัพย์สินที่มีค่าใดๆอยู่อีกเลย "จงไปขายบรรดาสิ่งของซึ่งทานมีอยู่แจกจ่ายให้คนอนาถา แล้วท่านจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ แล้วจงตามเรามาและเป็นสาวกของเรา" (มัทธิว 19:21, มาระโก 10:21, ลูกา 18:22)
ตอนนี้พวกเรามีเพียงกระเป๋าเสื้อผ้าคนละใบเท่านั้น แล้วก็ออกเดินทางไปยังที่ต่างๆตามแต่พระเจ้าจะทรงใช้ให้พวกเราไป "ผู้ใดได้สละบ้าน หรือพี่น้องชายหญิง หรือบิดามารดา หรือลูก หรือไร่นา เพราะเห็นแก่นามของเรา ผู้นั้นจะได้ผลร้อยเท่าและจะได้ชีวิตนิรันดร์ด้วย" (มัทธิว 19:29, มาระโก 10:29-30, ลูกา 18:29-30)
Pastor Steve
"หลายครั้งที่พระเจ้าทรงเรียกข้าพเจ้าให้ออกมารับใช้ แต่ข้าพเจ้าปฏิเสธการเรียกนั้นมาตลอด เพราะข้าพเจ้าคิดว่า ถ้าข้าพเจ้าทำเช่นนั้นข้าพเจ้าก็ต้องลาออกจากงาน หลังจากนั้นแล้วข้าพเจ้าจะเอาเงินที่ไหนไว้สำหรับใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ไหนจะค่าเช่าคอนโด ค่าผ่อนรถ และค่าใช้จ่ายส่วนตัวอีกมากมาย สรุปค่าใช้จ่ายในเดือนๆหนึ่งของข้าพเจ้าก็ร่วมสองหมื่นบาท ข้าพเจ้าคงทำเช่นนั้นไม่ได้
และเมื่อข้าพเจ้าปฏิเสธการเรียกนั้นมาตลอด ก็ได้เกิดเหตุการณ์หลายๆอย่างเกิดขึ้นในชีวิตข้าพเจ้า นั่นคือครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าจอดรถอยู่ที่เก็นติ้งไฮแลนด์ แล้วก็มีชายสองคนตรงเข้ามาที่รถยนต์ของข้าพเจ้า และเคาะกระจกเรียกข้าพเจ้า เมื่อข้าพเจ้าเปิดกระจกรถลง ชายผู้นั้นก็ได้เอามีดแทงเข้าที่ลำตัวของข้าพเจ้าจำนวนห้าแผล และก็ขโมยทรัพย์สินของข้าพเจ้าไป แต่เป็นเพราะพระเจ้าทรงปกป้องข้าพเจ้า แผลที่ถูกคนร้ายแทงนั้นเฉียดหัวใจไปเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น ไม่เช่นนั้นข้าพเจ้าก็คงจะไม่ได้มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อีกแล้ว และหลังจากนั้นก็ยังได้เกิดเหตุการณ์อื่นๆขึ้นอีก รถยนต์ที่ข้าพเจ้าใช้อยู่เป็นประจำนั้นเกิดเสียเดือนละไม่ต่ำกว่าสามครั้ง ถ้าไม่เสียก็ชน ซึ่งทำให้ข้าพเจ้าต้องเสียเงินไปกับค่าซ่อมรถอยู่เสมอๆ เพราะหลังจากที่ซ่อมจุดนี้เสร็จแล้ว แล้วก็นำรถออกมาใช้ จุดอื่นก็เสียอีกก็เลยต้องนำรถกลับไปซ่อมใหม่อีกเสมอๆ
ข้าพเจ้าจึงเชื่อแล้วว่าพระองค์ทรงเรียกข้าพเจ้าจริงๆ และเป็นการเรียกที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจลาออกจากงาน แล้วก็ขายทรัพย์สินที่มีอยู่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ คอมพิวเตอร์ และบางอย่างข้าพเจ้าก็ยกให้กับเพื่อนๆหรือใครก็ตามที่สามารถนำสิ่งของเหล่านั้นไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ แล้วก็ออกเดินทางจากประเทศมาเลเซียด้วยกระเป๋าเสื้อผ้าเล็กๆสองใบด้วยเงินติดตัวเพียง 4,000 บาท มาที่ประเทศไทยโดยทางรถไฟ เมื่อมาถึงกรุงเทพฯแล้ว ข้าพเจ้าก็ไม่รู้จักใครเลย และพูดภาษาไทยไม่ได้ และคนไทยส่วนใหญ่ก็ไม่ยอมพูดภาษาอังกฤษกับข้าพเจ้าเลย
หลังจากนั้นข้าพเจ้าจึงได้มีโอกาสรู้จักกับภรรยาของข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าก็ต้องออกเดินทางอีกครั้ง พระเจ้าทรงเรียกให้ข้าพเจ้าไปรับใช้ที่ประเทศอินเดีย และอีกครั้งที่ข้าพเจ้าเดินทางไปประเทศอินเดีย ข้าพเจ้าซื้อตั๋วเครื่องบินเที่ยวเดียว และออกเดินทางซึ่งข้าพเจ้าก็ไม่ได้ซื้อตั๋วเที่ยวขากลับเอาไว้ ข้าพเจ้าไม่รู้จักใครที่ประเทศอินเดียเลย และข้าพเจ้ามีเงินติดตัวอยู่เพียง 7,000 บาท ในเวลานั้น ข้าพเจ้ายังไม่ทราบด้วยว่าข้าพเจ้าจะสามารถกลับเมืองไทยได้อย่างไร และเงินที่มีติดตัวนี้จะเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายหรือไม่ แต่ข้าพเจ้าเชื่อฟังพระเจ้า ข้าพเจ้ามีความเชื่อว่าพระองค์จะทรงปกป้องข้าพเจ้า และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ไม่ทราบว่ามีเงินเข้าบัญชีข้าพเจ้าได้ยังไงจำนวน 600 ดอลล่าห์สหรัฐ และข้าพเจ้าอยู่ที่อินเดียเป็นเวลาสองเดือนโดยใช้เงินไปเพียงแค่ 200 ดอลล่าห์สหรัฐเท่านั้น"
Sister Jenny
"ข้าพเจ้ารู้สึกมีความสุขเมื่อเวลาที่ข้าพเจ้าได้รับใช้ และรู้สึกปลื้มปิติยินดีเมื่อยามที่เราสามารถช่วยให้คนอีกคนหนึ่งได้รับความรอดเช่นเดียวกับเรา ข้าพเจ้าจึงหลงใหลมากในการรับใช้ และปรารถนาว่าสักวันหนึ่งจะได้มีโอกาสเป็นผู้รับใช้เต็มเวลา ข้าพเจ้าได้อธิษฐานอยู่เสมอๆให้พระเจ้าทรงเตรียมทาง และเปิดทางให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาศที่จะเป็นผู้รับใช้เต็มเวลา
จนกระทั่งได้มีโอกาสมาเจอกับ Pastor Steve เพียงแค่ครั้งเดียว หลังจากนั้นเขาก็ไปรับใช้ที่ประเทศอินเดีย ในระหว่างที่เขาอยู่ที่ประเทศอินเดีย ข้าพเจ้าก็พยายามค้นหาบางสิ่งบางอย่าง เพราะข้าพเจ้ารู้ว่าพระองค์ทรงต้องการจะบอกบางสิ่งบางอย่างกับข้าพเจ้า พระองค์ทรงตอบคำอธิษฐานของข้าพเจ้าแล้ว พระองค์ทรงบอกให้ข้าพเจ้ารอ
หลังจากแต่งงาน พวกเราก็กลับไปที่ประเทศอินเดียอีกครั้ง ซึ่งเป็นการเดินทางไปครั้งแรกของข้าพเจ้า แต่เป็นครั้งที่สองของสามีข้าพเจ้า ข้าพเจ้ารู้สึกตื่นเต้นที่ได้มีโอกาสทำงานรับใช้เต็มเวลา ตอนนี้ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาสิ่งใดๆในโลกนี้นอกจากการได้ออกมารับใช้ การได้เห็นผู้อื่นมีความสุข และเช่นกัน ข้าพเจ้าออกเดินทางมีเพียงกระเป๋าเสื้อผ้า ไม่มีสิ่งมีค่าใดๆติดตัวไปเลย ข้าพเจ้าเคยมีพร้อมทุกๆสิ่ง แต่ในวันนี้ข้าพเจ้าไม่มีอะไรที่เป็นทรัพย์สินเหลืออีกเลย นอกจากความรักของพระเจ้าที่จะติดตัวข้าพเจ้าไปตลอดเวลา และนี่คือสิ่งมีค่ามากที่สุดในชีวิตของข้าพเจ้า และมันก็เพียงพอแล้วสำหรับชีวิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาสิ่งใดๆอีกแล้วในชีวิตที่เหลืออยู่นี้"
หลังจากที่พวกเรากลับจากประเทศอินเดีย พวกเราก็ได้มีโอกาสไปเยี่ยมพี่น้องตามคริสตจักรต่างๆและทำกิจกรรมร่วมกันกับพวกเขา พวกเรารู้สึกขอบพระทัยพระบิดาที่ทรงเปิดทางให้แก่พวกเราในวันนี้ พวกเราได้ไปเยี่ยมพี่น้องที่คริสตจักรใจสมานบางปะอิน เพื่อเทศนา และทำกิจกรรมต่างๆร่วมกันอยู่เสมอๆ พวกเรารู้สึกประหลาดใจมาก เพื่อผู้นำของที่นั่นได้เปิดโอกาสให้แก่พวกเรา สนับสนุนพวกเราและอนุญาติให้พวกเราที่จะใช้ชื่อของคริสตจักรใจสมานบางปะอินในการที่จะออกไปประกาศพระกิตติคุณ และกระทำพันธกิจตามที่ต่างๆทั่วแผ่นดินโลก
วันนี้ ในนามของคริสตจักรใจสมานบางปะอิน พวกเราจะออกไป และป่าวประกาศความรอดเพื่อนำจิตวิญญาณอีกหลายๆดวงกลับคืนมาหาพระบิดา ผู้เป็นพระเจ้าของพวกเรา ผู้ทรงเปี่ยมไปด้วยความรักและเมตตา ผู้ทรงผดุงไว้ซึ่งความยุติธรรม ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งต่างๆทั้งปวงขึ้นบนโลกใบนี้ ผู้ทรงเป็นความสว่างให้แก่ชีวิตของพวกเรา
"พระองค์ทรงเรียกสาวกสิบสองคนมาพร้อมกัน แล้วก็ประทานให้เขามีอำนาจเหนือผีทั้งปวง และรักษาโรคต่างๆให้หาย แล้วพระองค์ทรงใช้เขาไปประกาศแผ่นดินของพระเจ้า และรักษาคนเจ็บให้หาย พระองค์จึงสั่งเขาว่า 'อย่าเอาอะไรไปใช้ตามทาง เช่นไม้เท้า หรือย่าม หรืออาหาร หรือเงิน หรือเสื้อ และถ้าเข้าไปในเรือนไหน ก็จงอาศัอยู่ในเรือนนั้นจนกว่าจะไป ผู้ใดไม่ต้อนรับพวกท่าน เมื่อท่านจะไปจากเมืองนั้น จงสะบัดผงคลีดินจากเท้าของท่านออก ส่อให้เห็นความผิดของเขา' เหล่าสาวกจึงออกไปตามหมู่บ้าน ประกาศข่าวประเสริฐ และรักษาคนป่วยเจ็บทุกแห่งให้หาย" (ลูกา 9:1-6)
ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ
ตอบลบ